เหตุรถยนต์ขนาดเล็กแล่นเข้าใส่ฝูงชนบริเวณด้านหน้าประตูเทียนอันเหมิน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย เมื่อช่วงสายของวันนี้ (ภาพ - เอเยนซี) 
 
 
       เอเยนซี - เหตุระทึกขวัญกลางกรุงปักกิ่ง รถยนต์ขนาดเล็กแล่นเข้าใส่ฝูงชนที่ยืนออกันอยู่ด้านหน้าประตูเทียนอันเหมินในช่วงสายของวันนี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตทันที 3 ราย และบาดเจ็บหลายคน โดยชาวเน็ตจีนลือกันว่าเป็น “การเผาตัวเองประท้วงรัฐบาล”
       
       ซินหวา สื่อทางการจีน รายงานว่า รถยนต์ขนาดเล็กคันหนึ่งได้ขับพุ่งชนรั้วกั้นบริเวณด้านหน้าประตูเทียนอันเหมินอย่างแรง ซึ่งเป็นประตูทางเข้าหลักของพระราชวังต้องห้าม สถานที่ท่องเที่ยวแห่งสำคัญของประเทศ โดยเพลิงไหม้และแรงระเบิดจากตัวรถเป็นเหตุให้คนขับและผู้โดยสารอีก 2 รายเสียชีวิตคาที่ รวมถึงนักท่องเที่ยว เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เฝ้าประจำการอยู่ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน
       
       หลังการเกิดเหตุสะเทือนขวัญดังกล่าว ทางการกรุงปักกิ่งได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและนักดับเพลิงเข้าควบคุมสถานการณ์ พร้อมทั้งเพิ่มความเข้มงวดในระบบรักษาความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยถนนสายหลักที่มุ่งตรงมายังใจกลางจัตุรัสเทียนอันเหมิน และสถานีรถไฟใต้ดินใกล้เคียงถูกสั่งปิดการใช้งานทั้งหมด
       
       ขณะที่ชาวเน็ตจีนพากันส่งต่อรูปภาพซากรถยนต์ที่ถูกเพลิงไหม้อย่างหนัก พร้อมกับกลุ่มควันดำทมึนพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ขนาบข้างไปกับภาพเหมือนของประธานเหมา เจ๋อตง อดีตผู้นำสูงสุดที่ติดตั้งไว้เหนือประตูทางเข้าพระราชวังต้องห้าม ทว่ารูปภาพจำนวนมากดังกล่าวต่างถูกลบทิ้งในเวลาเพียงไม่กี่นาที
       
       “รถจี๊ปได้พุ่งเข้าใส่แนวกั้นของสะพานจินซุ่ย จากนั้นก็เกิดไฟลุกไหม้ขึ้น” ตำรวจเผยเหตุการณ์ ซึ่งยืนยันข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ที่เผยออกมาก่อนหน้า ทั้งนี้ สะพานจินซุ่ยทอดตัวอยู่รอบพระราชวังต้องห้าม แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของกรุงปักกิ่ง
       “คนขับและคนสองคนที่นั่งมาในรถจี๊ป เสียชีวิต” แถลงการณ์ของตำรวจยืนยัน
       
       สำกข่าวซินหวา รายงานว่า ระหว่างเกิดเหตุมีผู้บาดเจ็บ 11 ราย ทั้งนักท่องเที่ยวและหน้าที่ตำรวจ ขณะนี้ ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลใกล้ๆ
       
       อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่สามารถระบุสาเหตุหรือแรงจูงใจของการก่อเหตุที่แน่ชัดได้ แต่ชาวเน็ตจีนส่วนใหญ่พากันคาดเดาว่า มันน่าจะเป็น “การกระทำที่เกิดขึ้นจากความตั้งใจ” มากกว่าอุบัติเหตุธรรมดา
       
       “นี้อาจเป็นการจุดไฟเผาตัวเอง ประท้วงรัฐบาลจีน ณ จัตุรัสเทียนอันเหมิน ประจำปี 2556 ก็ได้นะ” ชาวเน็ตรายหนึ่งโพสต์ข้อความผ่านเวยปั๋ว เว็บไมโครบล็อคชื่อดัง (คล้ายทวิตเตอร์) ของจีน
       
       รอบๆจัตุรัส เทียนอันเหมินเป็นสำนักงานและสถาบันต่างๆของพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยมีห้องเก็บศพของประธานเหมา เจ๋อตงอยู่ด้านทิศใต้ มหาศาลาประชาชนอยู่ทางทิศตะวันตก และพิพิธภัณฑ์แห่งชาติจีนทางทิศตะวันออก
       
       ส่วนพระราชวังต้องห้าม ซึ่งเป็นมรดกโลก มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชม 14 ล้านคน/ปี ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเทียนอันเหมิน โดยมีประตูเทียนอันเหมินเป็นทางเข้า เป็นจุดที่ท่านประธานเหมา เจ๋อตงได้ประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ในปี 2492
       
       ณ จัตุรัสเทียนอันเหมินแห่งนี้ยังเป็นสถานที่เกิดเหตุประท้วงนองเลือดครั้งประวัติศาสตร์ โดยกลุ่มนักศึกษาและประชาชนได้มาชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย จนรัฐบาลนำกองกำลังเข้าปราบปรามในวันที่ 6 มิ.ย.2532  กลายเป็นเหตุนองเลือด มีผู้เสียชีวิตนับร้อย ขณะที่สื่อต่างชาติชี้จำนวนผู้เสียชีวิตนับพัน
       
       จากเดือนก.พ. 2552 ชาวทิเบต ประมาณ 120 คน ได้จุดไฟเผาตัวเองในเขตชนชาติทิเบตแถบที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบต เพื่อประท้วงรัฐบาลจีน โดยชาวทิเบตชี้ว่ารัฐบาลจีนกดขี่ชนชาติทิเบต
       
       ในปี 2544 กลุ่มลัทธิฝ่าหลุนกง 7 คน ได้เผาตัวเองที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน โดย 5 คน บาดเจ็บสาหัส
       
       ในเดือนพ.ค. 2550 ชายจากซินเจียง เขตปกครองตัวเองของชนชาติอุยกูร์ซึ่งเป็นมุสลิม ก็ได้พยายามจุดไฟเผารูปภาพเหมา เจ๋อตง แต่ถูกจับกุมโดยทันที
       
       ล่าสุด เมื่อวันศุกร์(25 ต.ค.) คนร้ายถือมีดไล่แทงผู้คนในพระราชวังต้องห้าม มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บ 1 ราย เหตุเกิดภายในห้องอาหารพิพิธภัณฑ์หลวง ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับประตูด้านตะวันออก (East Glorious Gate)  เหยื่อสองคนซึ่งเป็นคนงานในพิพิธภัณฑ์ ได้เสียชีวิตระหว่างตะลุมบอนกับมือมีดในห้องอาหาร

 
  
สภาพเพลิงไหม้ที่เกิดจากแรงระเบิดลุกท่วมคันรถ จนทำให้คนขับและผู้โดยสารรวม 3 รายเสียชีวิตทันที (ภาพ - เอเยนซี) 
 
 
     
  
(ภาพ - เอเยนซี) 
 
 
       
  
กลุ่มควันพวยพุ่งออกจากรถคันก่อเหตุขึ้นสู่ท้องฟ้า โดยชาวเน็ตจีนส่วนใหญ่คาดเดาว่า เหตุสะเทือนขวัญดังกล่าวเกิดจากความตั้งใจ (ภาพ - เวยปั๋ว) 
 
 
  
(ภาพ - เวยปั๋ว) 
 
 

เจ้าหน้าที่ตำรวจนำแผงกั้นเข้าล้อมรอบรถยนต์คันก่อเหตุ (ภาพ - เอเยนซี) 
 
 
  
(ภาพ - เอเยนซี)