ศักยภาพของแพทย์ด้านศัลยกรรมตกแต่งความงาม ในประเทศไทย เริ่มเป็นที่รู้จักและยอมรับกันมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มชาวต่างชาติที่แห่แห่นกันเข้ามาศัลยกรรมอย่างไม่ลังเล โดยเฉพาะศัลยกรรมแปลงเพศที่เติบโตอย่างต่อเนื่องขนาดเวทีประกวดนางงามสาวประเภทสอง 'มิสที บราซิล ประจำปี 2013' ประเทศบราซิล ตั้งรางวัลพิเศษผ่าตัดแปลงเพศในประเทศไทยสำหรับผู้คว้ามงกุฎไปครอง
รอบหลายปีที่ผ่านมา ศัลยแพทย์มือทอง ด้านศัลยกรรมตกแต่งความงาม ในเมืองไทยหัวกระไดไม่แห้งเลยทีเดียว โดยเฉพาะในเรื่องการแปลงเพศ ยกตัวอย่างโรงพยาบาลเอกชนที่มีชื่อเสียงด้านศัลยกรรมตกแต่ง ย่านฝั่งธนฯ เปิดเผยสถิติในรอบ 3-4 ปีที่ผ่านมามีลูกค้าเข้ามาแปลง จากหญิงเป็นชายกว่า 400 คน และแปลงเพศจากชายเป็นหญิงกว่า 600 คน โดยแบ่งเป็นสัดส่วนของคนไทย และชาวต่างชาติในปริมาณไล่เลี่ยกัน
จะศัลยกรรมฯ ต้องเมืองไทย
อ้างอิงจากรายงานของสำนักข่าวเอเอฟพี เปิดเผย รางวัลผู้ชนะการประกวดสาวประเภทสอง เวที 'มิสที บราซิล' ประจำปี 2013 ของประเทศบราซิล ผู้ชนะคือ ไรกา เฟอร์ราซ สาวประเภทสอง วัย 21 ปี นอกจากเธอจะได้มงกุฎไปครองยังพ่วง 'รางวัลผ่าตัดแปลงเพศในประเทศไทย' ซึ่งเอเอฟพียังยกย่องประเทศไทยด้วยว่า มีความเชี่ยวชาญในด้านการผ่าตัดแปลงเพศ
รศ.นพ.ปรีชา เตียวตรานนท์ เจ้าของ Plastic surgeon Medical Director ศูนย์ศัลยกรรมตกแต่งและผิวหนัง เลเซอร์ พีเอไอ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในด้านนี้ เปิดเผยผ่าน Astv ผู้จัดการรายสัปดาห์ ความว่า ทุกวันนี้ประเทศไทยกล่าวได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งของโลกในเรื่องการทำศัลยกรรมแปลงเพศ เพราะว่าเรามีเทคนิคการผ่าตัด ซึ่งให้ผลทางด้านสรีระใกล้เคียงกับผู้หญิงจริงมากที่สุด และอวัยวะที่ทำการผ่าตัดเหมือนจริงมากนั้น ทำให้ชาวต่างชาติที่มารับบริการต่างพึงพอใจ
อีกทั้งการบริการทางการแพทย์ของไทยเราก็มีมาตรฐานสูงในระดับโลก ทั้งการให้บริการและคำปรึกษา แนะนำข้อปฏิบัติ วิธีป้องกัน รวมไปถึงเรื่องต่างๆ ที่ควรรู้ทั้งก่อนและหลังผ่าตัดเพื่อความปลอดภัย
“พิสูจน์ได้จากที่ลูกค้าของเราไม่ได้มีเฉพาะชายไทย แต่มีมาจากหลายประเทศ หลายทวีป ซึ่งทุกคนเลือกเดินทางมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ มาจากยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ และอีกมากมาย และก็มีในทุกสาขาอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นพนักงาน บริษัท หรือธุรกิจส่วนตัว มีทุกช่วงอายุ ตั้งแต่เริ่มวัยรุ่นไปจน 40-50 ปี โดยในช่วง 3 ปีนี้ มีลูกค้าเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 100% ส่วนผู้หญิงที่มาขอแปลงเพศเป็นชายก็มีเพิ่มขึ้น แต่มีเพียงแค่ 10%” รศ.นพ.ปรีชา กล่าว
อย่างไรก็ตามศักยภาพในเรื่องการศัลยกรรมตกแต่งความงานของแพทย์เมืองไทย ดูเหมือนเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก ย้อนกลับไปเมื่อช่วงต้นปี 2556 กลุ่มแพทย์ด้านศัลยกรรมตกแต่งความงาม จัดงาน Masterclass Project : Rhinoplasty ประชุมวิชาการเชิงปฎิบัติการ เพื่อโชว์ศักยภาพแพทย์ไทย ประกาศความพร้อมในด้านศัลยกรรมความงาม ขณะเดียวกันก็กระตุ้นภาครัฐให้ช่วยปลุกปั้นไทยเป็นศูนย์กลางศัลยกรรมของเอเชีย หรือ Surgical hub of Asia เพราะมองเห็นว่าตลาดศัลยกรรมในแถบเอเชียโตเร็ว ซึ่งตรงนี้สามารถนำเงินจำนวนมหาศาลเข้าประเทศไทยได้อีก
นพ.สัมพันธ์ คมฤทธิ์ เลขาธิการแพทยสภา ได้ชี้ให้เห็นว่า ธุรกิจบริการทางการแพทย์และความงามกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 เชื่อว่าจะช่วยทำให้ตลาดธุรกิจบริการทางการแพทย์และความงามขยายตัวมากขึ้น
หลังจากที่ปัจจุบันมีผู้ป่วยชาวต่างชาติเข้ามาใช้บริการทางการแพทย์ในไทยจำนวนมากอยู่แล้วเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในอาเซียนอย่างสิงค์โปร์
โดยไทยมีคนไข้ชาวต่างชาติต่อปี ประมาณ 1.4 ล้านคน ส่วนสิงค์โปร์ มีประมาณ 600,000 คน ดังนั้น AEC จะเอื้อให้ไทยมีตลาดที่ใหญ่ขึ้นในอาเซียน ด้วยการเดินทางที่สะดวกขึ้น
ศักยภาพเต็มร้อย..มัวรออะไร?
อย่างไรก็ตาม ไทยมีจุดแข็งตรงที่ชื่อเสียงด้านการทำศัลยกรรมตกแต่ง โดยมีความพร้อมด้านบุคลากรทางการแพทย์ที่มีประสบการณ์ เครื่องมือที่ทันสมัย อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการรักษาที่ไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับคุณภาพมาตรฐานในการรักษา ที่สำคัญไทยยังมีศักยภาพสูงด้านท่องเที่ยวและบริการที่ยอดเยี่ยม ทำให้ผู้ที่เดินทางมารักษาตัวที่ไทยยังพ่วงสามารถท่องเที่ยวไปด้วยในตัวได้ด้วย ในราคาที่เหมาะสม
ด้าน นพ. สุพจน์ สัมฤทธิวณิชชา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลยันฮี ก็ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชนว่า ขณะนี้ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในเอเชียที่สามารถผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิง และจากหญิงเป็นชายในโรงพยาบาลเดียวกันได้ อีกทั้งราคาก็ไม่แพง ดังนั้น จึงเชื่อว่า เมื่อถึงปี พ.ศ.2558 ที่มีการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน นอกจากประเทศไทยจะเป็นเมดิคอลฮับ หรือศูนย์กลางการรักษาพยาบาลของภูมิภาคแล้ว เมืองไทยยังจะได้เปรียบเรื่องการศัลยกรรมแปลงเพศอีกด้วย
เช่นเดียวกับ นพ.บุรินทร์ หวังจิรนิรันดร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผ่าตัดแปลงเพศจาก พีเอไอ กล่าวเสริมว่า แพทย์ไทยถือเป็นแพทย์ที่มีความชำนาญผ่าตัดแปลงเพศสูงและอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก โดยการผ่าตัดมีทั้งแบบชายเป็นหญิง และหญิงเป็นชาย โดย 90% คือชายแปลงเป็นหญิง ส่วนอีก 10% หญิงแปลงเป็นชาย
แม้ว่าการแพทย์เกาหลีจะได้รับความนิยมอย่างมาก แต่หากมองกันที่การผ่าตัดแปลงเพศแล้ว เกาหลีถือว่ายังด้อยกว่าไทย เห็นได้จากคนเกาหลียังนิยมเข้ามาผ่าตัดแปลงเพศในไทย แต่สิ่งที่แพทย์เกาหลีเก่งคือการทำหน้า เนื่องจากโครงสร้างของคนเกาหลีโหนกแก้มและคางใหญ่ ดังนั้น จึงชำนาญการทำโหนกแก้มและคาง ปัจจุบันพีเอไอทำการผ่าตัดแปลงเพศให้กับลูกค้าชาวต่างชาติ 90% คนไทย 10% อย่างไรก็ดี แม้ว่าปริมาณผู้ที่ผ่าตัดแปลงเพศจะมีสูงขึ้น แต่หากเทียบกับการทำศัลยกรรมความงามแล้วถือว่ายังน้อยกว่าในสัดส่วน 70 : 30
ในเรื่องราคาที่ถือว่าไม่แพงมากก็เป็นสิ่งดึงดูดให้ผู้คนทั่วโลกแห่แหนเข้ามาทำศัลยกรรมในเมืองไทย นพ.สุพจน์ ยกตัวอย่าง การผ่าตัดจากชายเป็นหญิงในสหรัฐ ยุโรป แคนาดา ราคาประมาณ 1.5 - 2 ล้านบาท แต่ราคาของไทยเฉลี่ยประมาณ 1.2 - 1.5 แสนบาท หรือจากหญิงเป็นชาย เมืองไทยเฉลี่ย 4 - 5 แสนบาท ต่างประเทศ 4-5 ล้านบาท และที่สำคัญคือหมอไทยได้รับการยอมรับมากในเรื่องของฝีมือการผ่าตัดที่ทำได้เหมือนจริง
เร่งคลอดนโยบายรองรับ
นพ. ชลธิศ สินรัชตานันท์ นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย กล่าวผ่านงานประชุมวิชาการเชิงปฎิบัติการ Masterclass Project : Rhinoplasty ถึงกระแสศัลยกรรมตกแต่ง ความว่า “เทรนด์ความงามแบบเกาหลียังคงอยู่ในกระแสของคนไทย ยิ่งปัจจุบันคลินิกความงามหลายแห่งชูจุดเด่นเฉพาะทางด้วยการผันตัวเองเป็นตัวแทนโรงพยาบาลเกาหลีเพื่อส่งลูกค้าไปทำศัลยกรรม
“ประกอบกับกระแสวัฒนธรรมเกาหลีที่แทรกซึมเข้ามาผ่านทางสื่อบันเทิง การท่องเที่ยว สินค้าและแฟชั่น จนกลายเป็นกระแสเกาหลีฟีเวอร์ไปทั่วภูมิภาค แต่กระแสดังกล่าวจะคงอยู่ในแวดวงศัลยกรรมตกแต่งนานแค่ไหนนั้น อยู่ที่การสนับสนุนของภาครัฐ”
อย่างไรก็ตาม นพ. ชลธิศ ย้ำชัดถึงศักยภาพความพร้อมในการก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านศัลยกรรมตกแต่งในภูมิภาคเอเชีย
นพ.สัมพันธ์ เลขาฯ แพทยสภา กล่าวว่าในเรื่องบุคลากรทางการแพทย์ เครื่องไม้เครื่องมือ และศักยภาพของแพทย์ไทยนั้นเต็มร้อยอยู่แล้ว เพียงแต่ติดในเรื่องการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมของภาครัฐ
ประเด็นเหล่านี้เป็นเรื่องที่ภาครัฐต้องตระหนักถึงความสำคัญ และวางนโยบายเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจศัลยกรรมความงามที่มีช่องทางเติบโตสูง ด้วยการสนับสนุนธุรกิจสุขภาพ และความงามในรูปแบบของทัวร์ศัลยกรรมทั้งระบบ และร่วมผลักดันให้ไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางศัลยกรรมของเอเชีย
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์