อันดับที่ 10 ประเทศอิตาลี
ถึงแม้ว่ารถไฟในอิตาลีจะไม่ค่อยตรง เวลาและมาล่าช้าเป็นประจำ ทั้งยังเกิดเหตุประท้วงหยุดงานบ่อยครั้ง มีระบบการทำงานที่ล่าช้า ยุ่งยาก และมากขั้นตอน แถมข่าวคอร์รัปชั่นยังถือเป็นเรื่องชินตา และบางพื้นที่ก็มีขโมยชุกชุม แต่เมื่อเทียบกับวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของภูเขา ทะเลสาป ชายหาด โบราณสถาน และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในกรุงโรม เวนิส ฟลอเรนซ์ ฯลฯ แล้ว ก็ยังถือว่าคุ้มค่าและน่าไป (อยู่) อยู่ดี
นอกจากจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม ของโลกแล้ว อิตาลียังเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยงานศิลปะและการออกแบบแฟชั่น ที่สำคัญระบบบริการด้านสุขภาพสำหรับประชาชน ยังถูกจัดว่าดีที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกโดยองค์การอนามัยโลก นี่ยังไม่นับรวมของดีของดังอย่าง ไร่องุ่น โอเปร่า ตลอดจนกาแฟเอสเพรสโซ่ พิซซ่า และไอศครีม ที่มีรสชาติดีสุดๆ อีกด้วย
จริงอยู่ที่ตามเมืองหลักๆ และแหล่งท่องเที่ยวของอิตาลีจะมีค่าครองชีพสูง แต่ไม่ใช่เมืองที่อยู่ทางตอนใต้ ถึงแม้ว่าที่นั่นจะมีอัตราการว่างงานสูง และรายได้ต่ำกว่าเมืองที่อยู่ทางตอนเหนือมาก แต่เมืองที่อยู่ลึกลงไปทางใต้ก็เต็มไปด้วยสีสัน สภาพอากาศอบอุ่น เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมกลางแจ้ง และยังมีฤดูหนาวที่สั้นกว่า
สรุปง่ายๆ ก็คือ ถ้าต้องการไปทำงานหรือทำธุรกิจ (สามารถพูดภาษาอิตาลีขั้นเทพ) ก็ต้องมุ่งหน้าไปอยู่ทางตอนบนของประเทศ (โดยเฉพาะตามรีสอร์ทที่เปิดรับพนักงานต่างชาติ) แต่ถ้าต้องการใช้ชีวิตในวัยเกษียณอย่างสงบและมีงบฯ ไม่สูงนัก ก็ต้องถอยลงมาอยู่ทางตอนใต้สุด เพราะแถวนั้นค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก อย่างเช่นบนเกาะซิซิลี หรือบางพื้นที่ในแคว้นปูเกลีย บาซีลิกาตา และแคว้นกัมปาเนีย ซึ่งราคาบ้านไม่สูงมากนัก
อย่างไรก็ตาม โอกาสที่คนต่างชาติจะย้ายไปอยู่หรือทำงานในอิตาลีนั้นจะสูงกว่ามาก ถ้าเป็นผู้ที่มาจากประเทศที่เป็นสมาชิกสหภาพยุโรป เนื่องจากมีข้อตกลงร่วมกันในหมู่ประเทศสมาชิก
คะแนนรวมที่ได้: 77/100
คะแนนด้านค่าครองชีพ: 56/100
คะแนนด้านเศรษฐกิจ: 63/100
อันดับที่ 9 ประเทศแคนาดา
อินเตอร์เนชั่นแนล ลีฟวิ่ง จัดให้แคนาดาเป็นประเทศที่มีดัชนีคุณภาพชีวิตดีที่สุดเป็นอันดับ 9 ในปีนี้ ซึ่งอันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร เพราะเป็นที่รู้กันว่าทุกครั้งที่มีการจัดอันดับประเทศน่าอยู่หรือมีคุณภาพ ชีวิตดีที่สุดในโลก แคนาดาจะต้องมาเป็นอันดับต้นๆ เสมอ
ทั้งนี้เพราะรัฐบาลแคนาดามอบบริการทาง ด้านสาธารณสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีสุดๆ ให้แก่ประชาชนของเขานั่นเอง นอกจากนี้ แคนาดายังมีทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลาย อุดมสมบูรณ์ และมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามมากมาย
นอกจากนี้ แคนาดายังมีฐานะเศรษฐกิจและการเมืองที่มั่นคง มีอุตสาหกรรมการเงินที่แข็งแกร่ง ถึงแม้ว่าในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาทั่วโลกจะประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจจนสะบักสะบอมไปตามๆ กัน แต่ชาวแคนาดายังคงอยู่ได้แบบชิลล์ๆ และแทบไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ที่น่าอิจฉาก็คือ ประเทศนี้มีอัตราการ “จ้าง” งานที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นสวรรค์สำหรับคนหางานอย่างแท้จริง แถมค่าครองชีพก็ไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่พัฒนาแล้ว
แคนาดายังเป็นประเทศที่เปิดกว้างสำหรับคนต่างชาติที่ต้องการอพยพเข้าไปอาศัยหรือต้องการไปทำงาน (ควรมีทักษะและความชำนาญเฉพาะด้าน) เพราะมีกฏหมายคนเข้าเมืองที่ไม่เลือกปฏิบัติ ด้วยเหตุนี้แคนาดาจึงมีชาวต่างชาติอพยพเข้าไปอาศัยอยู่มากมาย (โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนเอเชีย) ส่งผลให้มีวัฒนธรรมที่หลากหลาย
สรุปได้ว่า แคนาดา เป็นประเทศที่เหมาะแก่การอพยพย้ายถิ่นฐานมากที่สุด หากไม่ซีเรียสในเรื่องของสภาพอากาศหรือชื่นชอบความเย็นแบบสุดขั้ว เพราะที่นั่นจะมีฤดูหนาวที่ยาวนาน อุณหภูมิติดลบ (บางพื้นที่มีอุณหภูมิเฉลี่ย -15 องศาเซลเซียส) และมีหิมะตกหนัก อย่างไรก็ตาม พื้นที่ในแถบชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกและตะวันตกจะมีสภาพอากาศที่อบอุ่นกว่า โดยหน้าร้อนจะมีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 20 องศาเซลเซียส แต่บางครั้ง (ในบางพื้นที่) อาจมีอุณหภูมิสูงถึง 25-30 องศาเซลเซียสได้เช่นกัน
คะแนนรวมที่ได้: 77/100
คะแนนด้านค่าครองชีพ: 62/100
คะแนนด้านเศรษฐกิจ: 69/100
อันดับที่ 8 ประเทศเบลเยี่ยม
เบลเยี่ยม อาจเป็นทางเลือกที่ถูกนึกถึงเป็นอันดับท้ายๆ สำหรับผู้ที่ต้องการโยกย้ายถิ่นฐานบางคน ทั้งนี้เนื่องจากเบลเยี่ยมเป็นประเทศเล็กๆ ที่มีประชากรค่อนข้างหนาแน่น จึงไม่เหมาะสำหรับผู้รักสันโดษ หรือต้องการมีชีวิตวัยเกษียณที่เงียบสงบ ยกเว้นผู้ที่ได้งานทำที่นั่นแล้ว เพราะการโยกย้ายถิ่นฐานและหางานเอาดาบหน้าที่เบลเยี่ยมนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
นอกจากนี้ ที่นั่นยังมีการใช้ภาษาที่หลากหลาย โดยแบ่งออกเป็น 2 ภูมิภาคใหญ่ๆ ได้แก่ “ฟลานเดอร์” ซึ่งประชากรส่วนใหญ่มักพูดภาษาเฟลมิช (ภาษาดัตช์) และ “วัลโลเนีย” ที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาหลัก (แต่บางพื้นก็พูดภาษาเยอรมัน)
แต่ข้อดีก็คือ เบลเยี่ยม เป็นประเทศที่มีมาตรฐานสูงในแทบทุกเรื่อง นับตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐาน อาหาร บริการด้านสาธารณสุข ที่พักอาศัย การศึกษา และมีประชาชนที่อยู่ในฐานะยากจนหรือด้อยโอกาสน้อย ทั้งยังมีสถานะทางเศรษฐกิจและการเมืองที่แข็งแกร่ง มีอาณาเขตติดต่อกับหลายประเทศในยุโรป (เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี ลักเซมเบิร์ก ฝรั่งเศส)
ที่สำคัญยังมีการจ้างงานชาวต่างชาติหลายพันคนที่ “กรุงบรัสเซลส์” ซึ่งเป็นเมืองหลวงและที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของสหภาพยุโรป องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (องค์การนาโต้) และองค์การระหว่างประเทศอีกหลายแห่ง
ด้วยเหตุนี้ที่กรุงบรัสเซลส์ จึงมีโรงเรียนนานาชาติหลายแห่ง และมีทุกสิ่งทุกอย่างที่ชาวต่างชาติต้องการ ไม่ว่าจะเป็น โรงละคร โรงภาพยนตร์ (เสียงภาษาอังกฤษ) ศูนย์กีฬา ระบบขนส่งมวลชนที่สะดวกสบาย เบียร์รสชาติเยี่ยม และมีภัตตาคาร/ร้านอาหารอร่อยๆ มากมาย ที่สำคัญ กรุงบรัสเซลส์ ยังมีรถไฟความเร็วสูงให้บริการข้ามประเทศเชื่อมต่อไปยังกรุงลอนดอน ปารีส และอัมสเตอร์ดัม อีกด้วย
เนื่องจากชาวต่างชาติส่วนใหญ่ในกรุงบรัสเซลส์ เดินทางเพื่อไปทำงานโดยไม่คิดลงหลักปักฐานที่นั่น จึงมักเช่าอพาร์ทเมนท์เป็นที่อยู่อาศัยชั่วคราว โดยห้องพักขนาด 1 ห้องนอนในย่านใจกลางเมืองจะมีค่าเช่าเริ่มต้นที่ $740 หรือประมาณ 24,000 บาท/เดือน
คะแนนรวมที่ได้: 78/100
คะแนนด้านค่าครองชีพ: 41/100
คะแนนด้านเศรษฐกิจ: 66/100
อันดับที่ 7 สหรัฐอเมริกา
แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะเป็นประเทศที่เกิดจากการโยกย้ายเข้าไปตั้งถิ่นฐานของคนต่างถิ่น แต่การเดินทางเข้าไปในประเทศนี้กลับไม่ใช่เรื่องง่าย และมีแนวโน้มว่าจะยากขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม “อินเตอร์เนชั่นแนล ลีฟวิ่ง” ระบุว่า อเมริกามีทุกอย่างที่ทุกคนต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่อันแสนศิวิไลซ์อย่างในกรุงนิวยอร์ก เมืองชายฝั่งที่อบอุ่นในรัฐฟลอริดา แหล่งสกีดีที่สุดในรัฐมอนทานา หรือเมืองที่มีอากาศหนาวเย็นสุดขั้วในรัฐอลาสก้า เป็นต้น
นอกจากนี้ อเมริกายังเป็นเมืองที่ค่อนข้างปลอดภัยและแสนสะดวกสบาย มีอาหารการกินให้เลือกหลากหลาย อยากได้อะไรก็ซื้อหามาได้ง่ายๆ แทบทุกที่ทุกเวลา การศึกษาและการแพทย์ล้ำหน้า ประชาชนมีคุณภาพชีวิตดีเลิศ (ถ้ามีเงิน)
คะแนนรวมที่ได้: 78/100
คะแนนด้านค่าครองชีพ: 56/100
คะแนนด้านเศรษฐกิจ: 67/100
อันดับที่ 6 ราชรัฐลักเซมเบิร์ก
หากมีการตัดสินคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชากร ในแต่ละประเทศ โดยพิจารณาจากจำนวนภัตตาคารหรูหราระดับดาวมิชลีนต่อตารางไมล์แล้วล่ะก็ รับรองว่าลักเซมเบิร์กกินขาด
ถึงแม้จะเป็นประเทศเล็กๆ ที่มีความยาวเพียง 51 ไมล์ (ราว 82 ก.ม.) กว้างเพียง 35 ไมล์ (ราว 57 ก.ม.) และไม่มีทางออกสู่ทะเล แต่ลักเซมเบิร์กก็มีจีดีพีต่อหัวสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ($88,000/คน หรือประมาณ 2.9 ล้านบาท/คน) จึงจัดเป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวย เศรษฐกิจมั่นคงแข็งแกร่ง แม้จะได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกบ้าง แต่ลักเซมเบิร์กก็ไม่มีปัญหาทางด้านการเงิน สังคม หรือภาระหนี้สิน ที่หนักหนาสาหัสเหมือนอีกหลายประเทศในยุโรป ทั้งยังมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยเหตุนี้ บรรดาอพาร์ทเมนท์หรือที่พักสวยๆ ที่เรามักเห็นในโปสการ์ดหรือภาพวิวเมือง จึงมีราคาเริ่มต้นขั้นต่ำอย่างน้อยที่ $7,400 (กว่า 2.4 แสนบาท) ต่อ “ตารางเมตร” แต่สิ่งที่แถมมาด้วยก็คือมุมมองที่สวยงามของหอคอยปราสาท สะพาน และจตุรัสในยุคกลาง
ลักเซมเบิร์ก เป็นประเทศที่มีการจ้างงานชาวต่างชาติในอัตราที่สูงมาก จึงมีคนหนุ่มสาวและผู้ที่อยู่ในวัยทำงานชาวต่างชาติ โยกย้ายถิ่นฐานเข้าไปทำงานที่ประเทศนี้เป็นจำนวนมาก เพราะแม้จะมีค่าครองชีพสูง แต่ข้อดีก็คือ อัตราภาษีเงินได้ต่ำ คุณภาพชีวิตสูง มาตรฐานทางด้านที่อยู่อาศัย การศึกษา การรักษาพยาบาล โครงสร้างพื้นฐาน การบริการ ฯลฯ ก็สูง และยังคงมีตำแหน่งงานสำหรับชาวต่างชาติเสมอ (โดยเฉพาะผู้ที่มาจากประเทศสมาชิกอียู)
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ต้องการย้ายไปอาศัยหรือทำงานที่ลักเซมเบิร์ก ควรพูดภาษาเยอรมัน หรือฝรั่งเศส ได้อย่างคล่องแคล่ว (นอกเหนือจากภาษาอังกฤษ) เพราะประชาชนที่นั่นเขาใช้กันหลายภาษาเช่นเดียวกับอีกหลายประเทศในยุโรป
คะแนนรวมที่ได้: 78/100
คะแนนด้านค่าครองชีพ: 44/100
คะแนนด้านเศรษฐกิจ: 85/100
อันดับที่ 5 ประเทศนิวซีแลนด์
ถึงจะติด 1 ใน 10 ประเทศที่น่า (ไป) อยู่ที่สุดในโลก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านิวซีแลนด์จะเปิดบ้านให้คนต่างถิ่นอพยพเข้าไปอาศัย อยู่ได้ง่ายๆ นอกเสียจากมีคนในครอบครัวอาศัยอยู่ที่นั่น เป็นคนหนุ่มสาวที่มีทักษะหรือความสามารถเฉพาะทางซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการ หรือไม่ก็ต้องเข้าไปในฐานะของนักลงทุน
“นิวซีแลนด์” ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในประเทศยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลก เนื่องจากมีสภาพภูมิประเทศที่สวยงาม ทั้งยังถูกใช้เป็นสถานที่ในการถ่ายทำภาพยนตร์บ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพยนตร์เรื่อง เดอะ ลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์ ทั้ง 3 ภาค
ข้อดีของการอาศัยอยู่ในประเทศนี้ก็คือ การได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงามมากๆ จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่สวยงามที่สุดในโลก และถ้าเป็นคนที่ชื่นชอบกีฬากลางแจ้ง กิจกรรมริมชายหาด หรือใส่ใจในสุขภาพด้วยแล้ว รับรองว่านิวซีแลนด์ไม่ทำให้ผิดหวัง
นอกจากนี้ นิวซีแลนด์ยังมีสถานะทางเศรษฐกิจและการเมืองที่มั่นคง ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีเลิศ สถิติการเกิดอาชญากรรมต่ำ ตำรวจแทบไม่ต้องพกปืน คอร์รัปชั่นก็ไม่มี ความอดอยากหิวโหยคืออะไรไม่รู้จัก ปัญหามลพิษ สุขภาพ และความแออัดของชุมชนไม่เคยปรากฏ
แม้จะดูดีไปเสียทุกเรื่อง แต่ข้อเสียก็คืออยู่ห่างจากประเทศเพื่อนบ้านมากๆ แม้แต่ประเทศออสเตรเลียที่ อยู่ใกล้นิวซีแลนด์มากที่สุดยังอยู่ห่างออกไปเกือบ 2 พันกิโลเมตร ที่สำคัญ รัฐบาลนิวซีแลนด์ไม่มีนโยบายที่จะเปิดกว้างในการรับแรงงานต่างชาติ ยกเว้นชาวต่างชาติที่มีทักษะตรงตามที่รัฐบาลต้องการ จึงจะสามารถอพยพเข้าไปอาศัยและทำงานได้
คะแนนรวมที่ได้: 79/100
คะแนนด้านค่าครองชีพ: 62/100
คะแนนด้านเศรษฐกิจ: 65/100
อันดับที่ 4 ประเทศเยอรมนี
ในขณะที่ชาวอังกฤษมักมองข้ามประเทศเยอรมนี (ในแง่ของการโยกย้ายถิ่นฐานเพื่อไปใช้ชีวิตในวัยเกษียณหรือทำงาน) แต่กลับมีชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะอดีตนายทหาร ที่เดินทางไปใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายที่นั่น
ทั้งนี้เนื่องจาก เยอรมนี มีทุกสิ่งทุกอย่างที่ทุกคนต้องการ นับตั้งแต่การใช้ชีวิตแบบศิวิไลซ์ไฮเทคในเมืองใหญ่ไปจนถึงวิถีชีวิตแบบ เกษตรกรรมในชนบท แถมยังมีชายหาด ทะเลสาป ภูเขา และปราสาทโบราณที่สวยงาม สภาพอากาศก็ดีมี 4 ฤดูด้วยกัน
แม้ทุกวันนี้วัฒนธรรมสมัยใหม่จะหลั่งไหลเข้ามามี อิทธิพลในหมู่วัยรุ่นชาวเยอรมัน เห็นได้จากกระแสฮอตฮิตของการแสดงดนตรีเทคโนที่กรุงเบอร์ลิน และการจัดเทศกาลเพลงร็อคในช่วงฤดูร้อน ฯลฯ แต่ถึงกระนั้น เยอรมนีก็ยังได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งเกอเธ่และบีโธเฟ่น ที่การเข้าชมละครเวที คอนเสิร์ตดนตรีคลาสสิก ผลงานศิลปะ ฯลฯ ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย
ส่วนมาตรฐานทางด้านการศึกษาและสาธารณสุขนั้นถือว่าสุดยอด (ประกันสุขภาพครอบคลุมถึงการเข้าพักในสปาเพื่อสุขภาพด้วย – กรณีที่แพทย์แนะนำ) คุณภาพชีวิตประชากรดีสุดๆ รายได้ต่อหัวก็สูง เฉลี่ยคนละประมาณ 2 ล้านบาทต่อปี จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการอพยพโยกย้ายถิ่นฐานแบบยกครอบครัว หรือต้องการใช้ชีวิตในวัยเกษียณอย่างมีคุณภาพ แต่จะต้องเป็นผู้ที่มีรายได้หรือมีเงินเก็บเหลือเฟือเท่านั้น
เพราะเยอรมนีเป็นประเทศที่มีค่าครอง ชีพสูง ภาษีก็สูงลิ่ว ถ้าคิดจะไปหางานทำที่นั่นล่ะก็ขอบอกว่ายากมาก เพราะทุกวันนี้เยอรมนีมีอัตราการว่างงานสูง แม้กระทั่งคนของเขาเองก็ยังหางานทำลำบาก ที่สำคัญจะต้องพูดภาษาเยอรมันได้ แม้กระทั่งการย้ายตามคู่สมรสก็ต้องเรียนภาษาเยอรมันเสียก่อน และต้องกรอกเอกสารของทางสถานฑูตเป็นภาษาเยอรมันอีกต่างหาก
คะแนนรวมที่ได้: 81/100
คะแนนด้านค่าครองชีพ: 54/100
คะแนนด้านเศรษฐกิจ: 71/100
อันดับที่ 3 ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
สมาพันธรัฐสวิสหรือประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นดินแดนในฝันของใครหลายคน ทั้งนี้เพราะมีทัศนียภาพที่งดงามราวภาพเขียน ประชากรมีคุณภาพชีวิตที่ดี และเป็นอีกหนึ่งประเทศที่คว้ารางวัลในด้านต่างๆ มาแล้วมากมาย
ความจริงแล้วสวิตเซอร์แลนด์มีข้อจำกัดเรื่องสภาพ ภูมิประเทศ เพราะไม่มีทางออกสู่ทะเลและถูกล้อมรอบโดยเทือกเขาแอลป์ แถมยังไม่มีทรัพยากรธรรมชาติ มิหนำซ้ำยังมีภาษาราชการมากถึง 4 ภาษา (ฝรั่งเศส, เยอรมัน (2 แบบ), อิตาลี, โรมานช์) ทำให้บรรดานักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากประเทศเจ้าของภาษาเหล่านั้น รู้สึกราวกับว่าที่นี่เป็นเหมือนบ้านหลังที่สอง
แน่นอนว่าจุดเด่นของสวิตเซอร์แลนด์ก็คือ ความสวยงามของภูเขา ทะเลสาป ตลอดจนสถาปัตยกรรมและสิ่งปลูกสร้างต่างๆ แต่ที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ การมีเศรษฐกิจและการเมืองที่มั่นคงแข็งแกร่ง เป็นศูนย์กลางการเงิน และเป็นผู้นำระดับโลกทางด้านเวชกรรม เภสัชกรรม เครื่องจักร และการทำนาฬิกา นอกจากนี้ สวิตเซอร์แลนด์ยังเป็นประเทศที่ปลอดภัย ประชาชนมีคุณภาพ ขยันขันแข็ง มีระเบียบวินัย ตรงต่อเวลา และมีมาตรฐานคุณภาพชีวิตที่ดี
แต่สวิตเซอร์แลนด์อาจไม่ใช่สวรรค์ของผู้ที่ต้องการโยก ย้ายถิ่นฐาน เนื่องจากค่าครองชีพสูงมาก ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ มีราคาแพง อัตราภาษีสูง ส่วนภาษาก็เป็นอีกหนึ่งอุปสรรคที่สำคัญ ดังนั้น ผู้ที่จะย้ายไปทำงานหรือใช้ชีวิตในสวิตเซอร์แลนด์ จึงควรพูดภาษาเยอรมันได้ และถ้าเข้าใจภาษาฝรั่งเศสด้วยก็ยิ่งดี
คะแนนรวมที่ได้: 81/100
คะแนนด้านค่าครองชีพ: 41/100
คะแนนด้านเศรษฐกิจ: 79/100
อันดับที่ 2 ประเทศออสเตรเลีย
ออสเตรเลีย เป็นอีกหนึ่งประเทศฮอตฮิตที่มีผู้คนอยากอพยพเข้าไปอาศัยอยู่มากที่สุด เนื่องจากมีชายหาดที่สวยงามมากมาย มีภูมิทัศน์หลากหลาย สภาพอากาศดี เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมกลางแจ้งทุกเพศทุกวัย ที่สำคัญการทำเรื่องอพยพโยกย้ายถิ่นฐานก็ไม่ยากเกินเอื้อมเหมือนในหลายๆ ประเทศ
เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่ ออสเตรเลียถือว่ามีค่าครองชีพที่ไม่สูงจนเกินไปนักสำหรับผู้ที่คิดจะโยกย้าย ถิ่นฐานหรือไปทำงานที่นั่น แต่สำหรับนักท่องเที่ยวแล้ว อาจรู้สึกว่าสินค้าและบริการของออสเตรเลียมีราคาสูงขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากเงินเหรียญออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นนั่นเอง
ออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีบริการด้าน สุขภาพ และโครงสร้างพื้นฐานอยู่ในระดับที่ดี แม้ราคาบ้านออกจะแพงไปสักหน่อย แต่ก็ยังมีงานดีๆ สำหรับคนต่างถิ่นที่มีทักษะและความชำนาญเฉพาะด้านเสมอ ส่วนข้อเสียที่ชาวต่างชาติพูดถึงก็คือ การที่มีสัตว์ดุร้าย (เช่น ปลาฉลาม) และสัตว์มีพิษ (เช่น งู) เป็นจำนวนมากนั่นเอง
คะแนนรวมที่ได้: 81/100
คะแนนด้านค่าครองชีพ: 56/100
คะแนนด้านเศรษฐกิจ: 71/100
อันดับที่ 1 ประเทศฝรั่งเศส
ฝรั่งเศส เป็นประเทศที่มีคะแนนรวม “ดัชนีคุณภาพชีวิต” นำเป็นอันดับหนึ่งของโลก จากผลการสำรวจของนิตยสาร “อินเตอร์เนชั่นแนล ลีฟวิ่ง”
มีคนทั่วโลกจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกอิจฉาชาวฝรั่งเศส เพราะได้อาศัยอยู่ในประเทศที่สวยงาม มีสภาพภูมิอากาศและภูมิประเทศที่หลากหลาย นับตั้งแต่อุณหภูมิที่หนาวเหน็บ บริเวณเทือกเขาแอลป์ ไปจนถึงอากาศอันแสนอบอุ่นแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นอก จากนี้ ฝรั่งเศสยังมีเมืองสวยๆ อย่าง ปารีส และแซงต์ โตรเปซ์ ฯลฯ มีไร่องุ่นดีที่สุดในโลก ทั้งยังขึ้นชื่อในเรื่องการเป็นแหล่งผลิตไวน์และแชมเปญ ส่วนทางด้านอาหารการกินก็ได้รับยกย่อง (จากบางสำนัก) ว่าดีที่สุดในโลก
ฝรั่งเศส ยังเป็นประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานดีมากๆ เศรษฐกิจมั่นคง การเมืองเข้มแข็ง มาตรฐานด้านการศึกษาสูง สวัสดิการทางสังคมดีมาก บริการด้านสาธารณสุขดีที่สุดในโลก ประชาชนรสนิยมดี มีสไตล์ รักความสวยงาม รู้ว่าควรใช้ชีวิตอย่างไรให้มีคุณค่าและมีคุณภาพชีวิตที่ดี ที่สำคัญ (นอกจากกรุงปารีสแล้ว) เมืองส่วนใหญ่ของประเทศฝรั่งเศสล้วนมีค่าครองชีพที่ไม่สูงมากจนเกินไปนัก
แต่ข้อเสียของการอพยพไปอาศัยในประเทศฝรั่งเศสก็คือ มีอัตราภาษีที่สูงมาก และแน่นอนว่าต้องพูดภาษาฝรั่งเศสได้
คะแนนรวมที่ได้: 82/100
คะแนนด้านค่าครองชีพ: 55/100
คะแนนด้านเศรษฐกิจ: 69/100 อันดับที่ 10 ประเทศอิตาลี