ตามข้อมูลจากธนาคารแคนาดา เอเชียเป็นภูมิภาคที่มีมหาเศรษฐีรวมกันมากที่สุด เฉพาะในปี 2012 มีมหาเศรษฐีชาวเอเชียที่มีทรัพย์สินสูงกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯรวมกันมากถึง 3.68 ล้านคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศสิงคโปร์ที่ 8.2% ของประชากรทั้งหมด 5.4 ล้านคนมีทรัพย์สินสูงกว่า 1 ล้านดอลลาร์เข้าไปแล้ว
จำนวนของมหาเศรษฐีในเอเชียเพิ่มมากขึ้นจนดูเหมือนว่า การจะเป็นมหาเศรษฐีได้นั้นเริ่มกลายเป็นเรื่องธรรมดา เราเลยขอรวมเฉพาะ 10 อันดับรวยที่สุดของเหล่าอภิมหาเศรษฐีชาวเอเชีย โดยอ้างอิงจากข้อมูลของ UBS AG และสถาบัน Wealth-X ที่ระบุว่าในเอเชียมีอภิมหาเศรษฐีพันล้านรวมกัน 386 คน พร้อมด้วยอัตราการเพิ่มมากขึ้นที่คาดว่าจะเอาชนะทวีปยุโรปและสหรัฐฯได้ภายในปี 2021 - 2032 นี้
แล้วพวกเขาจะแสดงความร่ำรวยของตัวเองด้วยวิธีไหนกันบ้าง? คลิกต่อไปดู 10 อภิมหาเศรษฐีชาวเอเชียที่รวยที่สุด และวิธีการใช้เงินทองของพวกเขาต่อได้เลย...
เครดิต :
แหล่งที่มา : http://money.th.msn.com/
ชาวฟิลิปินส์ที่ร่ำรวยที่สุด เป็นเจ้าของทรัพย์สินรวมกว่า 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ครอบครองธุรกิจค้าปลีกผ่านห้าง Sa Mercado (SM) Malls ทั่วทั้งประเทศ นอกจากนี้เขายังขยายกิจการไปสู่ธุรกิจด้านสุขภาพ, อสังหาริมทรัพย์, ธนาคาร ฯลฯ ภายใต้ชื่อบริษัท SM Prime Holdings ทรัพย์สินของเขาเพิ่งเพิ่มขึ้นมากถึง 2.9 พันล้านดอลลาร์ อันเป็นผลมาจากธุรกิจด้านอสังหาฯที่ทำรายได้ในปีเดียวได้ถึง 570 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หลักฐานความร่ำรวย: นายเฮนรี่ ไซและครอบครัวมีชื่อเสียงจากการที่ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างเลิศหรู แม้จะร่ำรวยมากแค่ไหนก็ตาม
เมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมา นิตยสารฟอร์บสประมาณการว่านายธนินท์ เจียรวนนท์ มีทรัพย์สินอยู่ราวๆ 3.93 แสนล้านบาท (1.26 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ถือเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศไทย เจ้าของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ที่มีธุรกิจในเครือหลากหลายตั้งแต่ธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร, ธุรกิจเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ยและเคมีเกษตร, ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ, ธุรกิจการตลาดและการจัดจำหน่าย, ธุรกิจโทรคมนาคม, ธุรกิจพัฒนาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ อีกมากมาย
ผู้ก่อตั้งและประธานบริหารของบริษัท Fast Retailing เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้ามากมาย มีทรัพย์สิน 1.55 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แบรนด์เสื้อผ้าที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาคือ ยูนิโคล ที่เพิ่งฉลองยอดขายรายปีทั่วโลกมูลค่ากว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ ในปีที่ผ่านมา ยานาอิสามารถเพิ่มมูลค่าหุ้นของบริษัทของเขาได้มากกว่า 2 ใน 3 อันเนื่องมาจากความหลักแหลมในการเจาะตลาดตามความต้องการของลูกค้า หลักฐานความร่ำรวย: นายยานาอิมีสนามกอล์ฟขนาดเล็กเป็นของตัวเองในสวนที่บ้านกลางกรุงโตเกียว เขาบริจาคเงิน 1 พันล้านเยนให้กับเหยื่อของเหตุแผ่นดินไหวที่เซ็นไดเมื่อปี 2011 แต่ยังขึ้นชื่อเรื่องที่ว่าเขาเลือกสวมใส่นาฬิกาธรรมดาๆของ Swatch
เจ้าของบริษัท Chow Tai Fook Enterprises วัย 88 ปีมีทรัพย์สิน 1.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากธุรกิจเครื่องประดับและอสังหาริมทรัพย์ ตามรายงานของสถาบัน Wealth-X ระบุว่าเขาเป็นเจ้าของเพชรที่ร่ำรวยที่สุดในโลก นอกจากนั้นเขาก็ยังเป็นเจ้าของโรงแรม 5 ดาวหลายๆแห่งทั้งในฮ่องกงและมาเก๊า ปัจจุบันเขาเป็นหนึ่งในกรรมการบริหารของธนาคารฮั่งเส็ง ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของฮ่องกง
นักธุรกิจชาวอินเดียนายลักษมี มิตตาล (คนขวา) มีทรัพย์สินประมาณ 1.65 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เขาเป็นประธานบริหารและผู้ก่อตั้งบริษัท Arcelor Mittal ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดของโลก ในปี 2008 เขาเคยมีทรัพย์สินสูงสุดถึง 6.9 แสนล้านดอลลาร์เลยทีเดียว หลักฐานความร่ำรวย: ลูกสาวของนายลักษมี จัดพิธีฉลองงานหมั้นและแต่งงานที่พระราชวังแวร์ซายและคฤหาสน์โวเลอวีกงต์ อย่างหรูหราอลังการนาน 6 วันเมื่อปี 2004 มีรายงานว่าภายในงานเลี้ยงมีการเสิร์ฟอาหารกว่า 100 ชนิด ซึ่งจัดเตรียมโดยเชฟที่ส่งตรงจากอินเดียไปฝรั่งเศสโดยเฉพาะ มีนักร้องในงานคือ ไคลี มิโนค และจุดพลุฉลองเหนือหอไอเฟล แขกทั้งหมดกว่า 1,000 คนได้เข้าพักในโรงแรมหรู 5 ดาว คาดกันว่าค่าใช้จ่ายในงานแต่งทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับพระราชพิธีเสกสมรสของเจ้าหญิงเคท มิดเดิลตัน และเจ้าชายวิลเลียม แห่งราชวงศ์อังกฤษ ที่ใช้เงินไปประมาณ 32 ล้านดอลลาร์เท่านั้น
เจ้าชายอัลวาลีด บิน ทาลัล แห่งซาอุดีอาระเบีย ทรงเป็นผู้ก่อตั้งและประธานบริหารของบริษัท Kingdom Holding Company เจ้าของธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทโฟร์ซีซัน, โรงแรม Savoy Hotel ในลอนดอน และโรงแรม Hotel George V ในปารีส นิตยสารฟอร์บสรายงานว่าเจ้าชายทรงมีทรัพย์สินประมาณ 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้ต่อมาพระองค์จะทรงแย้งว่ามีสูงถึง 2.6 หมื่นล้านก็ตาม นอกจากนี้พระองค์ยังทรงถือหุ้นของบริษัทดังๆอย่าง Twitter, Apple, News Corp ฯลฯ อีกมากมายด้วย หลักฐานความร่ำรวย: ในปี 2007 เจ้าชายอัลวาลีดฯ ทรงเป็นบุคคลแรกที่สั่งซื้อเครื่องบินแอร์บัส เอ 380 ไว้เพื่อใช้ส่วนพระองค์ แม้จะทรงมีเครื่องโบอิง 747 อยู่ก่อนแล้วก็ตาม อย่างไรก็ตาม พระองค์ก็ทรงเกิดเปลี่ยนพระทัย แล้วขายเครื่องบินลำยักษ์นั้นให้กับคนอื่นแทนก่อนที่จะได้รับการส่งมอบ ล่าสุดมีรายงานว่าพระองค์ได้สั่งให้สร้างเรือยอร์ชยาว 557 ฟุตมูลค่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เตรียมส่งมอบภายในปี 2014 ปัจจุบันพระองค์ทรงประทับอยู่ในพระราชวังในซาอุดิอาระเบียที่มีขนาดใหญ่ถึง 420 ห้องด้วยกัน
ครอบครัวกว็อก (ซ้าย: เรย์มอนด์, ขวา: โทมัส) มีทรัพย์สินรวมกันกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ ที่ได้มาจากธุรกิจด้านอสังหาริมทริพย์ Sun Hung Kai Properties อันเป็นมรดกตดทอกมาจากผู้เป็นพ่อ กิจการของพวกเขาถือเป็นธุรกิจพัฒนาที่ดินที่ใหญ่ที่สุดของฮ่องกง ในปี 2012 พี่น้องกว็อกถูฏตั้งข้อหาติดสินบนอดีตหัวหน้าคณะรัฐมนตรี ราฟาเอล หุย ซีเหยียน เป็นเงินกว่า 4 ล้านดอลลาร์เพื่อการต่อรองทางการเมือง หลักฐานความร่ำรวย: ในปี 2004 พี่น้องกว็อกซึ่งนับถือศาสนาคริสต์ ก่อตั้งมูลนิธิเพื่อสร้างเรือโนอาห์อาร์คของจริง โดยมีความยาว 450 ฟุต ภายในบรรทุกสัตว์จำลองรวม 67 คู่ มีร้านอาหาร, ลานกิจกรรม, พิพิธภัณฑ์เยาวชน และโรงแรม ตั้งอยู่ที่เกาะเล็กๆแห่งหนึ่งในอ่าวของฮ่องกง และสามารถเข้าชมได้ด้วยการนั่งเรือข้ามฝาก
นายลี เชา-กี ลูกชายของพ่อค้าทอง เจ้าของกิจการอสังหาฯ,ร้านอาหาร และบริการอินเทอร์เน็ตยักษ์ใหญ่ในฮ่องกง มีมูลค่าทรัพย์สินอยู่ที่ 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 6.34 แสนล้านบาท) เขาเป็นคนฮ่องกงที่รวยที่สุดเป็นอันดับ 2 และอันดับที่ 24 ของทั่วโลก นายลีก่อตั้งบริษัท Henderson Land ในช่วงปี 1960s และสามารถสร้างรายได้มหาศาลได้จากการจับกลุ่มตลาดอสังหาฯสำหรับหนุ่มสาวชนชั้นกลางเป็นหลัก บริษัท Henderson Land ของเขายังควบคุมกิจการท่าเรือข้ามฟาก และท่อส่งก๊าซที่ขนส่งให้วพลังงานกับ 85% ของครัวเรือนทั่วทั้งฮ่องกงอีกด้วย หลักฐานความร่ำรวย: ดูเหมือนว่าเงินทองของนายลี เชา-กีจะไปลงที่องค์กรการกุศลอยู่มาก เขาได้รับการยกย่องให้เป็นนักการกุศลในหมู่ชาวฮ่องกง เป็นผู้สนับสนุนหลักของสถาบันด้านการสร้างสรรค์ของฮ่องกง รวมทั้งวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยอื่นๆทั่วโลกด้วย
จากสถิติเมื่อเดือนมีนาคม 2013 นายมูเกช อัมบานี ชาวอินเดียที่รวยที่สุด มีมูลค่าทรัพย์สินรวมอยู่ที่ 2.15 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เขาเป็นประธานและกรรมการผู้จัดการของบริษัท Reliance Industries ที่ทำธุรกิจด้านพลังงาน นอกจากนี้บริษัทลูกอย่าง Reliance Retail ก็เป็นผู้ค้าปลีกผลิตภัณฑ์สาธารณูปโภค ฯลฯ ที่ใหญ่ที่สุดของอินเดียด้วย หลักฐานความร่ำรวย: นายมูเกช อัมบานี อาศัยอยู่กับภรรยาและลูกๆ 3 คนที่บ้านสูง 27 ชั้นแบบเพดานสูงที่เทียบเท่าอาคาร 40 ชั้นแบบปกติ ตั้งอยู่ที่เซาท์มุมไบ พร้อมด้วยพนักงานรับใช้รวมกว่า 600 คน คาดกันว่าอาคารบ้านพักสุดไฮโซของเขานี้ต้องใช้เงินก่อสร้างถึงกว่า 1 พันล้านดอลลาร์เลยทีเดียว อดีตประธานของบริษัท Tata group นายราทาน ทาทา กล่าวว่าบ้านสุดหรูของนายอัมบานีเป็นตัวอย่างของการที่คนรวยไม่ใส่ใจคนจนเลย โดยเฉพาะเมื่อตั้งอยู่ในเมืองที่มีชุมชนแออัดที่ย่ำแย่ที่สุดของทั้งเอเชียด้วย
นายลี กาชิง ชายที่รวยที่สุดของทั้งเอเชีย และเป็นอันดับที่ 8 ของทั่วโลก เขาเป็นเจ้าของทรัพย์สินรวมกว่า 3.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 9.7 แสนล้านบาท) ซึ่งเพิ่มมากขึ้นจากปี 2012 ถึง 5.5 พันล้านดอลลาร์ อันเป็นผลมาจากหุ้นส่วนที่เขาถืออยู่มากสุดมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 10% นายลี กาชิงเป็นเจ้าของกิจการท่าเรือตู้คอนเทนเนอร์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก รวมทั้งกิจการค้าปลีกผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามที่ใหญ่ที่สุดของโลกด้วย เดิมนายลี กาชิงเคยต้องลาออกจากโรงเรียนเมื่ออายุได้เพียง 15 ปีหลังจากที่พ่อของเขาเสียชีวิต เพื่อมาทำงานวันละ 16 ชม.ที่บริษัทค้าวัสดุพลาสติก เขาก่อตั้งบริษัท Cheung Kong ในปี 1950 และขยายกิจการจากการผลิตพลาสติกไปจนถึงการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ แล้วก็เข้าซื้อกิจการของ Hutchison Whampoa ในปี 1979 ต่อมาด้วยบริษัท Hong Kong Electric Holdings Limited ในปี 1985 หลักฐานความร่ำรวย: นอกจากที่เขาได้อาศัยอยู่ในเขตดีพวอเตอร์เบย์ ซึ่งถือเป็นย่านที่แพงที่สุดของฮ่องกงแล้ว นายลี กาชิงขึ้นชื่อเรื่องการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย และยังบริจาคเงินให้กับองค์กรการกุศลต่างๆมาแล้วถึง 1.41 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ