เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ลดาวัลย์ เกิดเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2433 เป็นเจ้าจอมคนรองสุดท้ายในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากเข้าถวายตัวเป็นเจ้าจอมในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2449 ในวันที่มีงานเฉลิมพระที่นั่ง พระองค์ท่านทรงโปรดเกล้าให้มีละครเรื่องเงาะป่า ซึ่งเจ้าจอม ม.ร.ว. สดับเป็นผู้ร้องประจำโรง เมื่อละครเลิกเจ้าจอม ม.ร.ว. สดับได้ตามเสด็จไปบนพระที่นั่ง และได้รับพระราชทาน "กำไลมาศ" เป็นกำไลทองคำแท้จากบางสะพาน หนักสี่บาท ทำเป็นรูปตาปูโบราณสองดอกไขว้กัน ปลายตาปูเป็นดอกเดียวกัน หากมองดีๆตาปูโบราณจะเป็นอักษรตัว s และอักษรตัว c (มาจากชื่อของเจ้าจอม ม.ร.ว. สดับ และ จุฬาลงกรณ์ ตามลำดับ) นอกจากนั้นยังได้มีบทกลอนพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสลักไว้ว่า...
กำไลมาศชาตินพคุณแท้ ไม่ปรวนแปรเป็นอื่นยั่งยืนสี
เหมือนใจตรงคงคำร่ำพาที จะร้ายดีขอให้เห็นเป็นเสี่ยงทาย
ตาปูทองสองดอกตอกสลัก ตรึงความรักรัดไว้อย่าให้หาย
แม้รักร่วมสวมใส่ไว้ติดกาย เมื่อใดวายสวาสดิ์วอดจึงถอดเอย
ในคราวนั้นเองที่พระองค์ท่านได้พระราชทานกำไลมาศแก่เจ้าจอมจอม ม.ร.ว. สดับ ทรงสวมให้ที่ข้อมือเจ้าจอม ม.ร.ว. สดับ และทรงบีบให้ชิดกันด้วยพระหัตถ์เอง รุ่งขึ้นจึงรับสั่งให้กรมหลวงสรรพศาสตร์พาช่างทองฝรั่งชาวเยอรมันชื่อนายแกรเลิตนำเครื่องมือมาบีบให้เรียบร้อย เจ้าจอม ม.ร.ว. สดับมีความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณนี้มากนัก ถึงกับบันทึกเอาไว้ว่า "ในวันเฉลิมพระที่นั่งนี้ทรงพระมหากรุณาสวมกำไลทองรูปตาปูพระราชทานข้าพเจ้า ทรงสวมโดยไม่มีเครื่องมือ บีบด้วยพระหัตถ์ รุ่งขึ้นจึงต้องรับสั่งให้กรมหลวงสรรพศาสตร์พาช่างทองแกรเลิตฝรั่งชาติเยอรมันมานำเครื่องมือมาบีบให้เรียบร้อย" ว่ากันว่าวันนี้นี่เองเป็นวันที่เจ้าจอม ม.ร.ว. สดับมีความสุขมากที่สุดในชีวิต
ครั้นเมื่อเจ้าจอม ม.ร.ว. สดับมีอายุได้ 20 ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต เจ้าจอม ม.ร.ว. สดับมีความทุกข์ และเศร้าโศกอย่างยิ่ง ท่านได้กล่าวไว้ว่า "ใจคิดจะเสียสละได้ทุกอย่าง จะอวัยวะหรือเลือดเนื้อ หรือชีวิตถ้าเสด็จกลับคืนมาได้ ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นใจที่คิดแน่วแน่ว่าตายแทนได้ไม่ใช่แค่พูดเพราะๆ...คุณจอมเชื้อเอาผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งมาให้ข้าพเจ้า บอกว่าท่านได้ประทานไว้ซับพระบาท ข้าพเจ้าจึงเอาผ้าที่ซับพระบาทนั้นแล้วพันมวยผมไว้ แล้วก็นั่งร้องไห้กันต่อไปอีก" นั่นคือครั้งสุดท้ายที่เจ้าจอม ม.ร.ว. สดับได้มีโอกาสสนองพระเดชพระคุณด้วยการเป็นต้นเสียงนางร้องไห้หน้าพระบรมศพ
ด้วยความที่ครานั้นเจ้าจอม ม.ร.ว. สดับผู้เป็นหญิงที่จัดว่างามนัก และมีสมบัติร่ำรวยมีอายุเพียง 20 ปี ทำให้เป็นที่จับตามองจากคนรอบข้างว่าจะสามารถครองตัวครองใจเป็นหม้ายได้ต่อไปตลอดหรือไม่ ซ้ำยังมีคนนินทาว่าร้ายอีกตามเคยว่าท่านคงจะเริ่มชีวิตคู่กับชายอื่นในอีกไม่นาน ประกอบกับครั้งหนึ่งมีพระยาข้าราชบริพารหนุ่มในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวไปเยี่ยมเยียนด้วยกิจธุระธรรมดาทำให้ข่าวลือนี้หนาหูมากขึ้น เจ้าจอม ม.ร.ว. สดับ มีความเดือดร้อนใจมากนักจึงตัดสินใจถวายคืนเครื่องเพชรทั้งหลายที่ได้รับพระราชทานมาแด่สมเด็จพระศรีพัชรินทราฯจนหมดสิ้นเพื่อที่จะได้ไม่ระคายเคืองถึงพระยุคลบาทว่าท่านอาจจะนำเครื่องเพชรพระราชทานตกไปเป็นของชายอื่น สมเด็จฯก็ได้ทรงรับไว้แล้วโปรดเกล้าฯให้นำไปขายที่ยุโรป แล้วนำเงินมาสมทบทุนสร้างโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ทั้งสิ้น จากนั้นเจ้าจอม ม.ร.ว. สดับก็สละทางโลกเข้าบวชชีเพื่อถือเป็นพระราชกุศลอีกด้วย
สิ่งที่เหลือไว้เพียงอย่างเดียว...กำไลมาศ...ที่เจ้าจอม ม.ร.ว. สดับ ใส่ติดกายไม่เคยถอดดั่งคำกลอนพระราชนิพนธ์ที่สลักเอาไว้บนกำไลทอง ตั้งแต่วันนั้น...วันแรกที่กำไลทองคล้องใจนี้สวมใส่อยู่บนข้อมือ จวบจนวันที่ท่านถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2526
หลังจากที่เจ้าจอม ม.ร.ว. สดับได้ถึงแก่อนิจกรรม ทายาทของท่านได้ถวายกำไลมาศพระราชทานคืนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์พระบรมราชินีนาถในรัชกาลปัจจุบัน และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เก็บรักษาไว้ ณ พระที่นั่งวิมานเมฆ สถานที่ซึ่งเจ้าจอม ม.ร.ว. สดับ ท่านเคยถวายการรับใช้แต่กาลก่อน...