พิธีคล้องช้าง
สารคดีเกี่ยวกับสยามประเทศเรื่องแรกที่ได้ลงตีพิมพ์ใน
นิตยสารเนชั่น แนลจีโอกราฟฟิก เป็นเรื่องที่ย้อนหลังไป
เมื่อปี ค.ศ. 1906 (พ.ศ. 2449) หรือเมื่อ 107 ปีก่อนซึ่ง
เป็นสารคดีที่ฝรั่งเขาตั้งชื่ออย่างให้เกียรติว่า
"The Greatest Hunt in The Woard"
หรือการล่าช้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
เป็นเรื่องเกี่ยวกับพิธีการคล้องช้างครั้งสำคัญในสมัยของ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นั่นเอง
ครั้งนั้น อีไลซา รูหะเมาะห์ สกิดมอร์ ผู้เขียนบทความให้คำเกริ่นนำไว้ว่า
"การล่าหรือการไล่ต้อนสัตว์ใดๆ จะสู้การคล้องช้างของพระเจ้ากรุงสยาม
นั้นเป็นไม่มี...การคล้องช้างเป็นธรรมเนียมโบราณของเมืองสยามที่น่าดูยิ่ง
แม้ล่วงเข้าคริสต์ศตวรรษที่ 20 แล้ว ก็ยังคล้องช้างกันอยู่ตามแบบแผน
โบราณ เป็นที่โปรดปรานของบรรดาราชสำนักชาวพระนคร และชาวบ้าน
แทบริมน้ำในกรุงเก่าพระนครศรีอยุธยา"
อดีตราชธานีอันยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งในเอเชีย กลับครึกครื้นขึ้นมาอีกครั้งด้วย
บรรดาทูตานุฑูต และแขกบ้านแขกเมืองที่โดยสารเรือเก๋งอันสะดวกสบาย
ชาวพระนครโดยสารรถไฟจนแน่นทั้งขบวน ชาวบ้านที่อยู่ริมคลองพายเรือ
มาตามคลองเพนียดมุ่งหน้าเข้าสู่เพนียดหลวง เตรียมรอชมการคล้องช้าง
ที่น่าตื่นตาตื่นใจ
พิธีคล้องช้างนี้ จัดขึ้นเพื่อรับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุธ
สยามมกุฎราชกุมาร ครั้งเสด็จนิวัตพระนครหลังทรงสำเร็จการศึกษาจาก
มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ และทรงแวะประพาสประเทศ
สหรัฐอเมริกาก่อนที่พระองค์จะทรงผนวชครองผ้าเหลืองจำพรรษา 3 เดือน
ตามพระราชประเพณี
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฉลองพระองค์เครื่องแบบเต็มยศ
ชุดขาวแบบชาวยุโรป ประทับทอดพระเนตรในพลับพลาที่ปลูกคล่อมเชิงเทิน
ด้านเหนือของเพนียด หากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดฉายพระรูป จึง
โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพลับพลาขึ้นอีกด้านด้วยทางทิศเหนือเป็นทำเลไม่เหมาะ
สมแก่การตั้งกล้องถ่ายรูป ผู้ที่มาชมการคล้องช้างมีกล้องงถ่ายรูปมาด้วยกัน
แทบทุกคนแต่ไม่มีผู้ใดกล้าถ่ายภาพพระเจ้ากรุงสยามและพระบรมวงศานุวงศ์
เว้นแต่จะมีพระบรมราชโองการหรือบัญชาอันเป็นธรรมเนียมที่ยังคงยึดถือและ
ปฏิบัติกันอยู่ แม้อยู่ในยุคที่สยามศิวิไลซ์แล้ว
ก่อนวันคล้องช้างหลายสัปดาห์ กรมช้างใช้เวลาแต่งคนไปสอดแนมและไล่
ต้อนช้างป่าจากทางเหนือและทางตะวันออก เตรียมข้ามน้ำเข้าสู่เพนียดรูป
สี่เหลี่ยมจตุรัสที่แข็งแรงมั่นคง ตัวเสาเป็นซุงไม้สักทั้งต้นสูงเกือบ 4 เมตรมี
เหล็กรัดแน่นหนา ตัวเพนียดเป็นคอกซุง 2 ชั้น แม้เสาเว้นช่องถี่แต่ก็ยังพอมี
ที่ให้ชาวสยามร่างน้อยๆลอดออกมาได้ทันครั้นถูกช้างไล่
เมื่อได้เวลาช้างต่อไล่ช้างป่าทั้ง 250 เชือกเข้าเพนียด เหล่าช้างตื่นส่งเสียง
อื้ออึง ช้างต่อต้องช่วยพยุงช้างป่าที่บาดเจ็บให้เดินต่อบ้างงัดช้างป่าที่ล้มตาย
ให้พ้นทาง และเข้าขวางช้างป่าที่ตื่นคะนองลอดหลุดจากเชือกบาศที่โยงกับ
หลัก บ้างถึงกับชนกันเป็นศึกใหญ่ ช้างชนกันเมื่อใดผู้คนก็ร้องโห่ดังกึกก้อง
ไปทั่วบริเวณเพนียด
เมื่อช้างเข้าเต็มเพนียดหมอช้างจะขึ้นช้างตระเวนคัดช้างป่าลักษณะดีงดงาม
ตามตำราที่ท่านบอกว่าต้องไร้ริ้วรอย ไร้แผลเป็น รอยย่นบนหนังต้องเป็นลาย
สม่ำเสมอ สีผิวยิ่งอ่อนยิ่งจัดว่างามเล็บตีนต้องดำ แม้ช้างเป็นสัตว์ใหญ่แต่หาง
เล็กๆนั้นสำคัญยิ่ง หากตัวใดหางขาดหรือแหว่งเสียแล้วก็จะถูกขับกลับเข้าป่า
และช้างที่ดีเหมาะกับการเดินทางต้องมีย่างก้าวสม่ำเสมอ กรมช้างจะเลือก
ช้างป่าไว้หัดใช้งานหลวงไม่กี่ตัว ที่เหลือจะเป็นช้างใช้ลากซุงและเดินป่าใน
งานสำรวจต่างๆของทางราชการ
เมื่อเสร็จสิ้นการคล้องช้าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงเสด็จกลับสู่ที่ประ
ทับแรม ณ พระราชวังบางปะอินโดยทางชลมารคและบรรดาชาวสยามที่มาชม
การคล้องช้างก็ต่างพากันแยกย้ายพายเรือกลับบ้าน อดีตราชธานีที่เคยครึก
ครื้นก็กลับกลายเป็นกรุงร้างกลางป่าอันเงียบเหงาเช่นเดิม...
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงเลือกช้างป่าด้วยพระองค์เองที่เห็นอยู่ด้านหน้าคือเสาโตงเตง
หรือประตูไม้ซุงแขวนสำหรับให้ช้างเดินเข้าออกเพนียด
ชาวสยามทั้งจากพระนครและกรุงเก่า แห่แหนกันมาดูการคล้องช้าง
ราวกับเป็นมหรสพ ในภาพช้างต่อกำลังเข้าขวางช้างป่าที่หลุดจากหลัก
ช้างต่อเข้าช่วยช้างป่าที่ถูกเบียดเสียดจนล้มลง
ระหว่างการคล้องช้างในเพนียด
กรมช้างค่อยๆต้อนช้างป่าข้ามน้ำไปเพนียดกรุงเก่า ที่เห็นอยู่ลิบๆด้านหลัง
คือบรรดาชาวบ้านที่ลอยเรือคอยดูการคล้องช้างที่ยิ่งใหญ่ในคราวนั้น
ช้างป่าราว 250 เชือก พักผ่อนอยู่ในเพนียดช้างป่ามักผอมโซจนเห็นกระดูก
บางตัวมีราขึ้นบนหนังเป็นดวงๆ แต่หากถูกนำมาเลี้ยงดีๆ
ก็จะงามน่าชมเช่นช้างเลี้ยง
ขอขอบคุณนิตยสาร National Geographic 109 (August 2010)
ขอบคุณค่ะที่แวะมา