ปากประตูนรก 6 แห่ง
เมื่อไม่นานมานี้มีรายงานข่าวเรื่องหลุมไฟขนาดใหญ่ในประเทศเติร์กเมนิสถาน ชาวบ้านเรียกมันว่า เดอร์วาเซ(Derwaze) อันกินความได้ว่ามันคือประตูสู่นรกภูมิ เรื่องเริ่มจากในปีค.ศ.๑๙๗๑ ขณะที่มีการขุดเจาะหาก๊าซธรรมชาติ คณะสำรวจพบว่าด้านใต้นั้นเป็นโพลงและมีกลิ่นก๊าซรุนแรง พวกเขาพากันละทิ้งมันเนื่องจากเกรงอันตราย จุดไฟเผาหลุมโดยหวังว่าเพียงไม่กี่วันมันจะมอดหมด แต่หาไม่ จนวันนี้มันยังคงโชติล่วงไม่ถดถอย
ราวกับเป็นปากทางสู่ดินแดนอันน่ากลัวอย่างนรก !
นรกภูมินั้นชาวพุทธรู้จักกันดี ในไตรภูมิพระร่วงอันเก่าแก่ได้บรรยายภาพของนรกไว้ ว่าเป็นดินแดนหนึ่งที่ลึกลงใต้ผืนดินของชมพูทวีป ประกอบด้วยมหานรก๘ขุม ยมโลกนรก๓๒๐ขุม อุสสทนรกอีก๑๒๘ขุม และโลกันตนรก ซึ่งเป็นขุมที่ใหญ่ที่สุด มืดมนไร้แสง
สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่๑๐ เคยตรัสว่า "นรกเป็นรัฐชั่วร้าย พวกที่อยู่ในรัฐนี้จะถูกกีดกันจากสายตาของพระเจ้าชั่วนิรันดร, และอยู่ในความน่ากลัวทุกข์ทรมาน”.
ไม่ใช่เป็นแค่ดินแดนหรือขุมเท่านั้น แต่มันคือ”รัฐ”
ใจกลางสาธารณรัฐนิการากัว ห่างเมืองหลวงมานากัวไปเพียง๑๒ไมล์ มีภูเขาไฟชื่อ มาซายา (Volcan Masaya) แต่หลายศตวรรษมาแล้วที่มันถูกเรียกขานโดยคนท้องถิ่นว่าลา โบคา เดล อินฟีโน(La boca del infierno) นับพันปีมาแล้วที่ภูเขาไฟนี้ปะทุปล่อยเถ้าควันขึ้นฟ้าสูงหลายไมล์ รวมทั้งก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ในปัจจุบันที่ริมขอบภูเขาไฟถูกจัดทำทางเดินเพื่อเที่ยวชม ทว่าในอดีต ที่แห่งนั้นเป็นที่หวาดกลัวของผู้คน มันเกี่ยวพันกับความตาย มีการบูชายัญ ชนพื้นเมืองเชื่อว่ามันคือปากประตูโลกกับนรก ณ จุดนี้เองที่สามารถสื่อสารติดต่อกับอีกภพได้ ทั้งวิญญาณของผู้คนและเทพเจ้า พวกเขาจะโยนคนลงปล่องภูเขาที่มีลาวาร้อนเหลวเดือดดาลเบื้องล่าง เพื่อประกอบพีกรรมตามความเชื่อ
ปีค.ศ.๑๕๒๔ นักบวชคาธอลิกจากสเปนเดินทางมาดูมาซายาด้วยตนเอง เมื่อแรกเห็นก็ตกใจ และตั้งชื่อให้ทันทีว่า ‘ประตูสู่นรก’ เนื่องจากที่นี่ตรงกับในคำพยากรณ์ในพันธสัญญาใหม่ ที่อธิบายถึงนรกว่าเป็นดินแดนที่ไฟลุกโหมในหลุมลึกที่ไม่มีจุดจบ และพ่นควันตลบกลบแสงตะวัน ในไบเบิ้ลกล่าวชัดเจนว่า นรกถูกตระเตรียมไว้สำหรับปีศาจ ยมทูต ซาตาน คณะบาทหลวงนำไม้กางเขนปักลงปากปล่อง มันตั้งอยู่เรื่อยมาอีกตลอดห้าร้อยปีจนเกิดการปะทุครั้งใหม่จึงหายไป
ในยุคกลาง ชาวคริสต์เชื่อว่าซาตานได้ก่อกบฎต่อต้านพระเจ้า จึงถูกจับโยนลงจากสวรรค์ ลงสู่ใต้โลกผ่านรอยแยกขนาดใหญ่ สู่หลุมที่ลึกลงไปใต้ผืนโลก และนักบวชต่างย้ำ-เชื่อหนักหนาว่า ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาคือดินแดนปีศาจที่ปกครองโดยซาตาน
ความเชื่อเรื่องประตูแห่งความตายนี้มีมาก่อนหน้าและยาวนานเกือบ๔,๐๐๐ ปี ชาวสุเมเรียนก็เชื่อเรื่องดินแดนการทรมานใต้ภิภพ ในบันทึกกรีกโบราณก็มีการเล่าถึงเหวลึกที่วิญญาณจะหล่นร่วงไปโดยใช้เวลานับปีก็ยังไม่ถึงพื้น
ในศตวรรษที่ ๗ นักบวชชาวสเปนอ้างว่าถูกปีศาจนำไปยังทะเลสาบไฟ และเขาหนีมันรอดมาได้ด้วยการนั่งเคารพวิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า
ศตวรรษที่ ๑๒ มีเรื่องราวกระจายไปทั่วว่า นักรบชาวไอริชตายแล้วฟื้น เขาบอกกับผู้คนว่าระหว่างนั้นเขาพบเห็นเหตุการณ์มากมายในนรก
และเช่นกัน ในปี ๑๙๓๐ แม่ชีชาวโปแลนด์ชื่อโฟติน่า อ้างว่าเทวดาพาตัวเธอไปท่องนรก และเธอได้เห็นภาพการทรมาน ๗ ชนิดที่รอคอยลงทัณฑ์ผู้คน
ห่างไกลออกไปจากเมืองมาซายา ๔๐๐ ไมล์ เป็นที่ตั้งปากทางสู่นรกอีกแห่ง ชนพื้นเมืองรู้จักมันในนาม ชีบาลบา (Xibalba) เป็นโพรงถ้ำที่ปัจจุบันเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อ ตั้งอยู่ในบลาซิล ในอดีตมีการอ้างถึงชีบาลบาในแง่ของการประกอบพิธีกรรมบูชายัญ และในคัมภีร์ของชาวมายันที่ชื่อ โพโพล วูห์(Popol Vuh )กล่าวถึงอันตรายร้ายแรงของผู้ที่ย่างกรายไปที่นั่น ใครก็ตามที่เดินผ่านถ้ำแห่งนี้ จะต้องได้รับบาดเจ็บ มีการพบแท่นบูชา หม้อดิน และโครงกระดูกหญิงสาว คาดว่าอายุราว๑๘-๒๐ ปี มันน่าทึ่งมากหากว่าเธอจะเดินเข้าไปยังที่นั่นเพียงลำพัง เห็นได้ชัดว่าเธอถูกนำตัวมาเพื่อบูชายัญ
ที่ชีบาลบามีหินงอกหินย้อยที่มากมาย ประหนึ่งเป็นการข่มขู่วิญญาณที่เดินทางสู่นรก มีช่องทางหนึ่งที่แคบมาก โถงถ้ำส่วนนั้นเรียกกันว่า’บ้านแห่งมีด’ เต็มด้วยหินงอกแหลมคมอันตรายผุดโผล่จากผนังและเพดาน ราวกับว่ามีใครนำใบมีดขนาดใหญ่มาปักติดไว้
เส้นทางสู่นรก แน่นอนว่ามันย่อมเปล่าเปลี่ยวและลึกลับ ผู้คนมักหายสาปสูญ ไม่มีใครได้ย้อนกลับในเส้นทางเดิม ไม่พลัดหลงก็ถูกนำมาเพื่อพิธีการต่างๆในสมัยโบราณ
เธซิอุสวีรบุรุษแห่งกรีก ต้องสูญเสียความทรงจำ เป็นเวลานานถึง๔ปีที่เขาถูกจับและทรมานโดยงูยักษ์ขณะลงสู่โลกใต้พื้นพิภพ
จากบันทึกของชาวเมโสโมเตเมียยุคแรก เส้นทางสู่นรกนั้นจะเต็มไปด้วยภูเขา แม่น้ำ และก่อนถึงประตูจะเต็มไปด้วยอันตราย แต่สำหรับชาวอียิปต์ มันน่ากลัวกว่านั้น ระหว่างทางสู่นรกเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาด ภูตผีปีศาจ วิญญาณที่หลงทาง หลุมพรางนานา ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้ดวงวิญญาณรอดพ้นสิ่งเหล่านั้นได้คือ อัมดูอัต(Amduat) ซึ่งเขียนขึ้นเพื่อเป็นคู่มือสำหรับการนำทาง ที่อีโมรี่ ยูนิเวอร์ซิตี้ มีการเก็บรักษาคัมภีร์อัมดูอัตอายุราว ๓,๐๐๐ ปี คัมภีร์มีคาถาที่จะทำให้ดวงวิญญาณผ่านพ้นสิ่งต่างๆไปได้ เมื่อไปถึงยังประตูและไม่อาจบอกคาถาที่ถูกต้องได้ วิญญาณจะติดค้างที่ประตูแห่งนั้นตลอดกาล
ความเชื่อเหล่านี้ถูกตอกย้ำอีกครั้งโดยสาวกของพระเยซู ตามพระคัมภีร์ที่ว่าพระองค์ได้ลงสู่ฮาเดสเพื่อช่วยปลดปล่อยดวงวิญญาณ ในพันธสัญญาใหม่กล่าวว่า ในขณะที่พระองค์สิ้นพระชนม์ไปสามวันก่อนจะพื้น พวกเขาเชื่อว่าเวลาดังกล่าวนั้นพระองค์เสด็จไปยังยมโลก และนำผู้ที่ศรัทธากลับขึ้นสู่โลกมนุษย์
ภาพเขียนยุคกลาง มักมีภาพของพระองค์ฟื้นจากความตายและปรากฏตัวที่หน้าถ้ำหรือปากประตูที่ไหนสักแห่ง ทำลายความเชื่อเดิมๆของมนุษย์ที่ว่าไม่มีใครสามารถรอดจากที่แห่งนั้นมาได้ ในตำนานกรีก ออฟีอุส เดินทางลงไปขุมนรกอเวจีเพื่อช่วยเหลือภรรยานาน ๙ วัน เมื่อยังไม่กลับมา น้องชายของเขาก็ตามลงไปช่วย แน่นอนว่าทั้งสามไม่มีใครกลับขึ้นมาได้อีก
ทางตอนเกือบใต้สุดของประเทศกรีซ บนชายฝั่งของดินแดนคาบสมุทรเพโลโพนีซุส(Peloponnesus) เฮอร์คิวลิสได้เคยพบถ้ำที่นำไปยังโลกใต้ภิภพ นักวิชาการกลุ่มหนึ่งเชื่อว่า ณ บริเวณนั้นอาจนำไปสู่การไขกุญแจเรื่องของฮาเดส ซึ่งในตำนานนั้นกล่าวว่ามีแม่น้ำกว้างใหญ่หลายสายอยู่ใต้แผ่นดินที่ไหลไปสู่โลกแห่งความตาย
แม่น้ำลึกลับในตำนานนั้นมีอยู่หลายสาย แม่น้ำแอคคิรอนซึ่งแปลว่านรกหรือสายน้ำแห่งความเศร้า มีแม่น้ำโคไซตัสหรือเสียงครวญร่ำไห้แห่งสายน้ำ เพลการ์ตอนหรือแม่น้ำแห่งไฟและอีกมากมายหลายชื่อที่บ่งบอกว่านำทางไปสู่ความทุกทรมาณ มันจะไหลเข้าสู่ปลายทางเดียวกัน นั่นคือฮาเดส
ทาร์ทาลัส-นรกขุมที่ลึกที่สุด เป็นสถานลงทัณฑ์ที่อยู่ใต้แม่น้ำต่างๆอีกชั้น ผู้ผิดบาปขั้นร้ายแรงในตำนานของกรีกจะลงสู่ที่แห่งนั้น คนที่ผิดกฎหรือล่วงละเมิดเทพจะถูกตรึงไว้กับกงล้อไฟ
ภาพความน่ากลัวเหล่านี้ถูกส่งต่อไปในทุกๆแหล่งอารยธรรม
บันทึกของอิสลามฉบับหนึ่ง พระมูฮัมหมัดกล่าวเตือนผู้ทำบาป ถึงพิษจากงูใหญ่ที่จะเผาใหม้ร่างไปนาน ๔๐ ปี และร้อนกว่าไฟบนโลกถึง ๖๙ เท่า ภาพของนรกภูมิ ในลัทธิโซโรแอสเทรียน ที่มีอายุ ๑,๕๐๐ กล่าวถึงการทรมานที่น่ากลัว และระบุว่าเวลาที่นั่น๓วันเท่ากับเวลา ๙,๐๐๐ ปีของโลกมนุษย์
เจมส์ ลอง บาทหลวงในนิกายคาทอลิกเชื่อว่านรกมีอยู่จริง เขาและผู้เชี่ยวชาญด้านปรากฏการณ์ปาฎิหาริย์จัดรายการวิทยุชื่อ ‘ซีเคร็ต ดิวิชั่น’ มักจะมาพร้อมกับเทปบันทึกเสียงที่โหยหวนซึ่งอ้างว่ามันคือเสียงแห่งนรก เป็นเสียงของวิญญาณที่ถูกทรมาน และมีผู้ฟังทางบ้านจำนวนไม่น้อยที่ร่วมแสดงความคิดเห็น ภาพของนรกภูมิในหัวพวกเขาเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายที่พร้อมฉีกทึ้งร่างกาย ไฟที่คอยแผดเผา
แล้วขุมนรกของชาวอียิปต์เป็นเช่นไร ?
ในโลงศพของเลดี้ ทาฮัท ที่คาดว่าจะเป็นนักร้องหญิงในวิหารศักดิ์สิทธิ์ เมื่อถอดรหัสภาพวาดที่ด้างข้างของโลง จะเห็นว่าหลังการตายวิญญาณทั้งหมดจะต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินครั้งสุดท้าย วิญญาณจะถูกนำไปยังโถงแห่งคำพิพากษา หัวใจจะถูกนำมาชั่งวัดกับขนนกแห่งความจริง หากน้ำหนักของบาปที่ก้อนหัวใจหนักกว่าขนนก นั่นหมายถึงการพบกับการทรมาณ อสูรกายที่มีหัวเป็นจระเข้และตัวเป็นสิงโต จะมารุมกัดกินดวงวิญญาณของคุณ
ด้านอารายธรรมกรีกนั้นเชื่อว่า กษัตริย์ไมนอสเป็นผู้ตัดสินดวงวิญญาณ และส่งคนชั่วร้ายลงสู่ทาร์ทาลัส สำหรับชาวมุสลิมนั้นก็มีภาพความเชื่อคล้ายกันจนทุกวันนี้ คนชั่วจะหล่นจากสะพานแคบๆไปในหลุมแห่งไฟ
งานเขียนชิ้นหนึ่งที่ถูกเขียนขึ้นราวปีค.ศ. ๑๓๐๐ จินตนาการถึงนรกที่แจ่มชัด โดยดานเต้ อลิเกียอาริ (Dante Alighieri) เขาเป็นรัฐบุรุษ กวีผู้ยิ่งใหญ่ เขาถูกจับในสงครามที่ฟลอเร้นซ์ ถูกเนรเทศจากบ้านเกิด เขาเขียนมหากาพย์ฉบับหนึ่งชื่อว่า Commedai แบ่งออกเป็นสามภาค มีภาคหนึ่งที่ชื่อ ดิ อินเฟอร์โน บรรยายเล่าเรื่องราวการเดินสู่นรกอันสยดสยอง ผู้คนจะถูกต้ม เผา และทิ่มแทง อธิบายรายละเอียดว่านรกภูมิมี ๙ ขุม การทรมานจะขยับความรุนแรงลงไปเรื่อยตามความชั่วช้าของผู้คน คนผิดในกามจะถูกพายุลมพัดร่างไม่หยุดหย่อน คนตะกละจะติดในหลุมโคลนของสิ่งโสโครกตลอดกาล ขโมยจะถูกโจมตีจากงู คนนอกรีตจะถูกโจมตีจากดวงไฟตกจากฟากฟ้า หรือไม่ก็จมในน้ำเดือด และเขาบอกว่า ดวงวิญญาณจะมีสติรับรู้การลงทัณฑ์อย่างนั้นไปตลอดกาล การเดินทางเริ่มตั้งแต่วันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ไปสิ้นสุดที่วันอีสเตอร์
ประติมากรระดับโลกอย่าง โอกุสต์ โรแด็ง ได้สร้างงานชิ้นหนึ่งเป็นบานประตูนรก บานประตูนั้นฉายภาพของนรกโลกันต์แจ่มชัดโดยไม่ต้องจินตนาการ
ที่ไอร์แลนด์ ในทะเลสาปห่างไกลที่ชื่อ ล็อค เดิร์ค มีเกาะเล็กๆที่รู้จักกันในนามที่ชำระบาปของ เซนต์ แพททริค บนเกาะมีโพรงถ้ำที่ผู้คนเชื่อว่ามันเป็นประตูสู่นรก
ทุกๆ หน้าร้อน ผู้คนจะมานับพันเพื่อเข้าร่วมพิธีกรรมซึ่งมีมานับพันปี พวกเขาจะอดอาหาร อดหลับอดนอนข้ามวันข้ามคืน พากันร้องเพลงและสวดขอพร ตำนานเล่าว่า เซ็นต์แพททริคพยายามที่จะเปลี่ยนใจพวกนอกรีต เขาจึงบอกแก่พระเจ้า และพระองค์ก็ได้ชี้ช่องทางสู่ขุมนรก เพื่อที่ผู้คนจะได้เชื่อว่าพระเจ้านั้นมีอยู่จริง
ในศตวรรษที่ ๑๒ มีเรื่องราวว่าอัศวินผู้หนึ่งได้ลงไปสู่นรกภูมิ ผ่านสถานที่ชำระบาปแห่งนี้ และได้เห็นหม้อต้มน้ำที่เดือดพล่าน และกองทัพของซาตาน
ทุกวันนี้ ทางเข้าถ้ำได้สูญหายไปแล้ว สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป หอระฆังูกสร้างขึ้นแทนถ้ำแห่งนั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ เชื่อว่าถ้าใครมาที่ร่วมแสวงบุญที่นี่สามครั้ง เขาจะไม่มีวันตกนรก
ประตูสู่นรกอีกบานอยู่ที่กันดารที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
มีภูเขาไฟที่มอดแล้วแห่งหนึ่งในประเทศเอธิโอเปีย ภูเขาไฟเอทตา อาเล เป็นที่รู้จักกันในนาม หลุมที่นรกสร้างขึ้น รอบๆบริเวณนั้นไร้ร้างสิ่งมีชีวิต คนพื้นเมืองจะเตือนเราว่า อย่าไปเหยียบที่แห่งนั้นเชียว มันเต็มไปด้วยวิญญาณร้าย ด้วยความร้อนกว่า ๒,๐๐๐ องศา ปากปล่องจึงทำให้รู้สึกว่าเข้าใกล้นรกโลกันต์เหลือเกิน กำมะถันอวลตลบคลุมบรรยากาศ
ที่ไอซ์แลนด์ก็มีเช่นกัน
เมื่อปีค.ศ. ๒๐๑๐ ที่ภูเขาไฟในไอซ์แลนด์ปะทุขึ้น ส่งควันและเถ้าลาวาคลุมเกือบทั่วภูมิภาคยุโรป คนในยุคกลางเชื่อว่าห่างจากจุดนั้นไปราว ๓๐ ไมล์ มีประตูสู่นรกอีกแห่งหนึ่ง การปะทุรุนแรงที่ภูเขาเฮลกาในปีค.ศ.๑๑๐๔ นั้นเถ้าลาวาปกคลุมทั่วยุโรป กำแพงนรกได้พังทลายลงในความคิดพวกเขา และปีศาจได้ออกจากประตูนรกมาเพื่อทำลายมวลมนุษย์
ไม่มีใครรู้ว่าลึกลงไปราว ๕,๐๐๐กิโลเมตร จากพื้นโลกมันมีความลับอะไรซุกซ่อนอยู่กันแน่ ทว่าในจินตนาการเรากลับเห็นภาพการลงทัณฑ์อันแสนทรมาน ไฟแผดเผาดวงญาณ และเหล่าซาตาน ความมืดมิด สัตว์ร้าย ทุกสิ่งอย่างดูโหดร้ายเกินกว่าจะมีความต้องการที่ใครจะลงไป...
หรือว่าแท้จริงแล้วมันไม่มีอะไรอยู่เลย... นอกจากความร้อนเกือบ ๖,๐๐๐ องศาเซลเซียส