กินหวาน ดับร้อน "เพิ่มความชรา

สภาพอากาศของประเทศไทย เราทุกคนคงเคยชินและคุ้นเคยกับอากาศที่ร้อนอบอ้าวและมีแดดแรง ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้คนมักเสาะหาเทคนิคคลายร้อนให้ตนเอง สิ่งหนึ่งคือการเลือกรับประทานอาหารที่มีรสชาติหวานและมีความเย็น จนเกิดเป็นความเคยชินว่าอาหารและเครื่องดื่มที่มีรสหวานจะทำให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า หากไม่ได้รับประทานของหวานจะรู้สึกไม่มีแรง อ่อนเพลีย หงุดหงิด เราเรียกลักษณะนี้ว่า "ภาวะติดน้ำตาล" และเมื่อร่างกายได้รับน้ำตาลในปริมาณมากเกินความต้องการ น้ำตาลเหล่านั้นก็จะแปรรูปเป็นไขมันสะสมไปทั่วร่างกาย ผลที่ตามมาก็คือการเกิดโรคอ้วนโรคเบาหวาน อีกทั้งยังเพิ่มอัตราความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดอีกด้วยClycation และ AGEs

การรับประทานของหวานในปริมาณมากเป็นประจำนั้นส่งผลให้ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ก่อให้เกิดปฏิกิริยาไกลเคชั่น (Glycation) อันเป็นสาเหตุของความชราก่อนวัยอันควร เนื่องจากโมเลกุลของน้ำตาลที่เรารับประทานเข้าไปจะไปเกาะติดกับโปรตีน ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของอวัยวะรวมถึงเซลล์ต่างๆ ภายในร่างกาย ก่อให้เกิดสารตัวหนึ่งที่เรียกว่า AGEs (Advanced Glycation End-Products) เมื่อสารตัวนี้ผ่านเข้าสู่เซลล์ต่างๆ ของร่างกายก็จะส่งผลให้เซลล์บริเวณนั้นตายหรือเสื่อมสมรรถภาพในการทำงานลง จากการวิจัยพบว่า AGEs เป็นตัวทำลายคอลลาเจนรวมไปถึงใยโปรตีนในผิวหนัง ส่งผลให้เกิดริ้วรอยและมีจุดด่างดำตามมา นอกจากนี้ยังมีผลกระทบต่อเซลล์สมองก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ อีกทั้งยังเป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง เนื่องจากโมเลกุลของน้ำตาลที่ไปเกาะโปรตีนในหลอดเลือดนั้นส่งผลให้ความยืดหยุ่นของหลอดเลือดลดลง

7 วิธีลดหวาน ต้านความชรา

- เลือกดื่มน้ำเปล่าแทนน้ำหวาน : น้ำทำหน้าที่ในการกำจัดของเสียออกจากร่างกาย และอีกทั้งยังให้ความชุ่มชื้นแก่เซลล์ โดยปกติเราควรดื่มน้ำวันละ 8 แก้วขึ้นไป การดื่มน้ำน้อยนอกจากจะทำให้ผิวไม่สดใสแล้วยังส่งผลให้อวัยวะต่างๆ ทำงานหนักอีกด้วย

- รับประทานผลไม้สดแทนขนมหวาน : ผลไม้นั้นมีวิตามิน เกลือแร่ และใยอาหารที่ช่วยในการขับถ่าย ผลไม้มีรสหวานจากฟรักโทศ (Fructose) และกลูโคส สามารถช่วยทำให้ร่างกายสดชื่นโดยที่ไม่ต้องรับน้ำตาลในปริมาณที่มากเกินไป

- เลือกชนิดของขนมหวานที่จะรับประทาน : ในกรณีที่หลีกเลี่ยงการรับประทานขนมหวานไม่ได้ แนะนำให้เลือกชนิดของอาหารที่จะนำมาประกอบเป็นของหวาน เช่น น้ำแข็งใสหรือหวานเย็น ควรรับประทานควบคู่กับธัญพืชที่มีใยอาหารสูง ประเภทลูกเดือย ถั่วแดง ถั่วเขียว ข้าวโพด เป็นต้น ใยอาหารมีส่วนช่วยในการชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่ร่างกาย ทำให้อิ่มท้องได้นาน ลดความอยากของหวาน และลดความอ้วนได้ดี

- หลีกเลี่ยงหรือลดปริมาณการเติมน้ำตาลลงในอาหารและเครื่องดื่ม : ในที่นี้หมายถึงน้ำตาลทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลทราย น้ำตาลทรายแดง น้ำผึ้ง ไซรัป และไฮฟรักโทสคอร์นไซรัป หรือน้ำตาลที่สกัดจากข้าวโพด

- บ้วนปากทุกครั้งหลังรับประทานของหวาน : เนื่องจากความรู้สึกที่สัมผัสได้ถึงความหวานจากต่อมรับรสชาตภายในช่องปากจะส่งผลให้เกิดความอยากอาหารและยังเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ฟันผุ เพราะแบคทีเรียที่ยังคงหลงเหลืออยู่หลังจากรับประทานอาหารจะทำลายผิวเคลือบฟัน

- อ่านฉลากโภชนาการข้างบรรจุภัณฑ์ : หากผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีปริมาณน้ำตาลมากกว่า 15 กรัม (3 ช้อนชา) ก็ควรจะหลีกเลี่ยง

- ให้เวลาร่างกายในการปรับตัว : ร่างกายของเราจะใช้เวลาประมาณ 10 วันในการปรับสภาพลิ้นที่ติดรสชาติอาหารหวาน ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปก็จะทำให้ความต้องการน้ำตาลลดลง

ถึงแม้ว่าการรับประทานน้ำตาลมากเกินไปจะเป็นปัจจัยของโรคเรื้อรังต่างๆ และยังเป็นสาเหตุของความชราก่อนวัยอันควร อย่างไรก็ตามน้ำตาลก็ยังเป็นสิ่งที่มีประโยชน์และจำเป็นต่อร่างกาย โดยมีหน้าที่หลักในการให้พลังงาน อีกทั้งยังเป็นแหล่งอาหารสมอง สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน เมื่อเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ การดื่มน้ำหวานหรืออมลูกอมก็สามารถทำให้อาการดีขึ้นได้ ในผู้ที่สูญเสียเหงื่อหรือมีอาการท้องเสีย การรับประทานของหวานก็จะทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น

"เพราะฉะนั้นหากเราเลือกรับประทานน้ำตาลในปริมาณที่เหมาะสมให้ถูกต้องตามปัจจัยแวดล้อมของแต่ละบุคคล อันประกอบไปด้วย อายุ เพศ น้ำหนัก ส่วนสูง และกิจกรรมระหว่างวัน ก็จะทำให้ร่างกายไม่ขาดสมดุลและไม่ก่อให้เกิดความชราก่อนวัยอันควร"


Credit: http://variety.teenee.com/foodforbrain/56798.html
10 ต.ค. 56 เวลา 13:55 461 30
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...