แอน มิตซูโอะ เปิดใจตีสิบ เล่าชีวิตฆราวาส เผยเจอครั้งแรกก็รักเลย

แอน มิตซูโอะ เปิดใจตีสิบ เล่าชีวิตฆราวาส เผยเจอครั้งแรกก็รักเลย


อดีตพระมิตซูโอะ พร้อมภรรยา แอน สุทธิรัตน์ เปิดใจหมดเปลือกถึงชีวิตฆราวาสหลังสละผ้าเหลือง พร้อมเผชิญกระแสข่าวโจมตีต่าง ๆ นานา ใน รายการตีสิบ

 

 



            กลายเป็นข่าวช็อกไปทั่วประเทศทีเดียว หลังจากที่อดีตพระมิตซูโอะ อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าสุนันทวนาราม จ.กาญจนบุรี ลาสิกขา หลังจากที่บวชมานานกว่า 38 พรรษา ไปแต่งงานกับ แอน สุทธิรัตน์ มุตตามระ จนสร้างความเคลือบแคลงใจให้กับประชาชนไม่น้อยนั้น ล่าสุด รายการตีสิบ (8 ตุลาคม 2556) จึงได้เชิญทั้ง อดีตพระอาจารย์มิตซูโอะ และ แอน สุทธิรัตน์ มุตตามระ มาพูดคุยเปิดใจเล่าเรื่องราวและสาเหตุของการสึกแบบหมดเปลือกเป็นครั้งแรก

            โดย อดีตพระมิตซูโอะ เผยว่า ชีวิตเปลี่ยนไปหลังจากลาสิกขาหน้ามือเป็นหลังมือ โดยเฉพาะภายนอก ตอนเป็นพระเป็นผู้ใหญ่ ก็เป็นที่เคารพยกย่อง แต่เมื่อลาสิกขาเป็นฆราวาสแล้วก็โดนโจมตี นินทาแบบไม่เกรงใจสุด ๆ นอกจากนี้ ชีวิตก็มีเวลามากขึ้น นั่งสมาธิติดต่อกัน 3 ชั่วโมง ซึ่งตอนเป็นพระมีกิจกรรมตลอด ไม่ค่อยมีเวลา

            เมื่อถามว่า หลังจากที่ทั้งคู่จดทะเบียนและบินไปญี่ปุ่นเลยนั้น ทราบถึงกระแสข่าวในเมืองไทยหรือไม่ คุณแอน กล่าวว่า ทราบ เพราะเราเช็กตลอด บางทีก็เครียดกลุ้มใจ ท่านก็บอกว่าไม่ต้องอ่าน ไม่ต้องฟังแล้ว ช่างมัน เดี๋ยวข่าวก็เงียบไปเอง แต่ตนก็ไม่เชื่อ เช็กทุกวัน ซึ่งก็มีข่าวลือมากมาย ตอนแรกก็ขำ ๆ แต่หลัง ๆ ก็ขำไม่ออกแล้วเพราะกระแสหนักมาก มีทั้งเรื่องถูกจ้างให้จับท่านสึก มอมยา จับท่านเปลือยแล้วแบล็กเมล ซึ่งข่าวลือเหล่านี้ไม่เป็นความจริงเลย และเรื่องราวก็ดูท่าจะไปกันใหญ่ ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเลยบอกว่า มันเป็นเรื่องเสียหายต่อศักดิ์ศรีมาก ถ้าท่านพร้อมก็เปิดเผยต่อสังคมจะดีกว่า ตนจึงได้นำรูปไปโพสต์ในเฟซบุ๊ก ปรากฏว่าภาพถูกแชร์ออกไปอย่างรวดเร็ว ด้านอดีตพระมิตซูโอะ กล่าวว่า ข่าวลือน่าจะมาจากคนกลุ่มหนึ่งตั้งใจจะทำร้ายพวกเรา ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็ยังคงปล่อยข่าวลือออกมาทำร้ายอยู่อย่างต่อเนื่อง

 

 



ส่วนที่มีข่าวลือว่ามือของอดีตพระอาจารย์มิตซูโอะดำ จนถูกมองว่าถูกทำของใส่นั้น คุณแอน ชี้แจงว่า ตั้งแต่ที่ท่านบอกตนว่าจะลาสิกขา ท่านมีเวลาเตรียมตัว 10 วัน เพราะพระวัดป่าจะมีกฎระเบียบว่าต้องเคลียร์กุฏิให้เกลี้ยง ซึ่งท่านมีกุฏิทั้งที่กรุงเทพฯ และเมืองกาญจน์ ท่านก็ทำเองทุกอย่างเพราะเป็นความลับ เดินทั้งวันจนมือและเท้าอักเสบ

            เมื่อถามว่าทำไมจึงต้องลาสิกขาแบบลับ ๆ นั้น อดีตพระมิตซูโอะ กล่าวว่า ตนไม่ต้องการให้วุ่นวาย ซึ่งจะทำให้ตนหนักใจ เรียกว่าลาสิกขาแบบมรณานุสติ หายตัวไปก่อน เพราะถ้าบอกลูกศิษย์ก็จะมีคนห้ามแน่ ๆ และคุณแอนก็จะถูกไล่ออกจากวัด

            นอกจากนี้ คุณแอน เล่าต่อไปว่า จริง ๆ แล้วท่านจะลาสิกขาตอนที่ไปเทศน์ที่เชียงใหม่จบ เมื่อกลับมาที่กรุงเทพฯ ก็จะบินต่อไปฮ่องกงเลย ไปลาสิกขาที่ฮ่องกง แต่ข่าวรั่วก่อนในหมู่ลูกศิษย์และกรรมการมูลนิธิ ซึ่งข่าวอาจจะรั่วตอนที่ท่านให้ตนไปขอวีซ่าไปญี่ปุ่น หลังจากที่ท่านเทศน์มา 3 วัดก็ได้มาพักที่คลินิกตนเพื่อรับวิตามินก่อนไปเชียงใหม่ คนก็โทรมากันใหญ่เลยว่า ท่านจะลาสิกขาแล้วเหรอ ซึ่งท่านก็บอกว่าข่าวรั่วขนาดนี้ต้องโดนสกัดที่เชียงใหม่แน่นอน จึงสึกคืนนี้เลย และให้ตนหาวัดให้เลย

            แต่ปรากฏว่าไม่มีใครยอมสึกให้เลย เพราะกลัวโดนสังคมประณาม สุดท้ายตนโทรไปที่วัดชนะ ซึ่งมีพระครูที่รู้จักอยู่ โดยบอกเพียงว่า พระญี่ปุ่นจะลาสิกขาไปญี่ปุ่นให้ช่วยสึกให้หน่อย พระครูก็นึกว่าเป็นพระเด็ก ๆ พอพระครูเห็นก็ตกใจ และไม่กล้าสึกให้อีก แต่พระมิตซูโอะก็ไหว้ขอความเมตตา 3 ครั้ง แม้จะถูกไล่ให้กลับไปคิดดูก่อน แต่พระมิตซูโอะก็ยืนยันว่า คิดรอบคอบแล้วด้วยสติสัมปชัญญะ และต้องสึกคืนนี้เพราะเครื่องบินจะออกแล้ว หลังจากนั้นพระครูจึงให้พระมหา 2 รูปมาช่วยทำการสึกให้

 

 



            ส่วนข่าวที่ว่าคุณแอนเป็นหนี้ 1,500 ล้านบาทนั้น คุณแอน กล่าวว่า ตนทำธุรกิจ มีหนี้แต่ก็มีหลักทรัพย์ ซึ่งก็เป็นธรรมดา แต่ไม่ได้แต่งกับท่านเพราะหวังสมบัติ เพราะท่านมาเพียงกระเป๋าใบเดียว เป็นพระวัดป่าจับเงินไม่ได้ ส่วนเงินบริจาคที่ได้มาท่านเอาเข้ามูลนิธิหมดเลย

            เมื่อถามว่าทั้งคู่รู้จักกันได้อย่างไรนั้น คุณแอน กล่าวว่า เดิมตนเป็นลูกศิษย์วัดธรรมกาย ช่วงที่ตนมีปัญหาเนื่องจากโรงแรมที่ภูเก็ตไฟไหม้ ตนกลุ้มใจมากจึงโทรปรึกษาพี่สาวของอดีตสามี ซึ่งเขาก็บอกว่าจะพาไปหาพระอาจารย์มิตซูโอะให้ท่านสอนธรรมะ จะได้สบายใจ จึงโทรไปหาเลขาฯ ของท่าน ซึ่งท่านก็ว่างเพียงชั่วโมงเดียว ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เมื่อตนได้ฟังธรรมะก็สบายใจ และอยู่วัดต่อเป็นเดือน ๆ ส่วนท่านก็เดินทางไป ๆ มา ๆ เพราะกิจนิมนต์เยอะ ไม่ค่อยได้เจอกัน ทั้งนี้ ตนก็รู้ว่าท่านมีปัญหาเรื่องสุขภาพ และตนก็ทำคลินิกจึงเอาอาหารเสริมไปถวาย ตอนหลังท่านก็ไปดูแลสุขภาพที่คลินิกของตน โดยให้อดีตสามีดูแลท่าน แต่ตนไม่ได้ไปด้วย

            หลังจากนั้น ช่วงสงกรานต์ท่านต้องมาฟังผลเลือดที่คลินิกตน ตนต้องเข้ากรุงเทพฯ พอดี จึงนิมนต์ท่านเดินทางไปกับรถตนด้วย แต่เมื่อท่านขึ้นรถก็กางหนังสือพิมพ์อ่านตลอดเวลา ไม่พูดไม่คุยเลย ตนก็ไม่กล้าคุยกับท่าน เมื่อถึงคลินิกก็มีการพูดจาซักถาม ซึ่งท่านก็อยากให้ตนช่วยดูแลตอบคำถามธรรมะในเฟซบุ๊ก ซึ่งเป็นโครงการใหม่ของทางวัด จึงทำให้มีการพูดคุยกับท่านมากขึ้น เมื่อท่านเห็นว่าตนพอช่วยงานได้ จึงให้ไปประชุมด้วย และจัดโปรแกรมสุขภาพ ตนจึงเหมือนกับเป็นเลขาส่วนตัวให้ท่านไปเลย
 

 

 


            ทางด้าน อดีตพระมิตซูโอะ เผยว่า ตนก็รักตั้งแต่เจอกันครั้งแรก รู้สึกเหมือนว่ารู้จักกันมานาน ถูกชะตา เหมือนเคยเจอตั้งแต่ชาติก่อน เมื่อได้ทำงานใกล้ชิด แอนทำอะไรก็ถูกใจหลายด้าน ทำงานของเราคล่องตัว ซึ่งก็ไม่ผิด เพราะตนรักษาศีลและพระวินัยทางกาย วาจา เคร่งครัดอยู่แล้ว เพียงแต่รู้สึกลึก ๆ นอกจากนี้ตนก็ตั้งใจว่าจะนำคู่มือรักษาสุขภาพใจดีไปเผยแพร่ทั่วโลก จึงคิดว่าถ้าลาสิกขาแล้วเดินทางไปเผยแพร่ธรรมะ 2 คน น่าจะเผยแพร่ได้สะดวกขึ้น

            นอกจากนี้ คุณแอน กล่าวต่อไปว่า หลังจากที่ท่านจินตนาการเรื่องการมีชีวิตครอบครัวแล้ว ซึ่งเป็นตอนที่ได้ใกล้ชิดกันมา 2 เดือนแล้ว จนกระทั่งวันเกิดท่าน 28 พฤษภาคม ตนก็รับท่านไปกิจนิมนต์ ท่านก็บอกว่าอาจารย์จะลาสิกขาแล้ว ตนก็ตกใจมาก ก่อนที่ท่านจะบอกว่า เรามีมโนธาตุตรงกัน และคิดว่าเราเป็นคู่บารมีกัน และชวนมาร่วมกันเผยแพร่ศาสนา ตนก็ศรัทธาท่านอยู่แล้ว จึงปวารณาตัวดูแลท่านตลอดชีวิต และตนก็ถามท่านว่า ตนจะบาปหรือไม่ ท่านก็บอกว่า ต้นเหตุอยู่ที่จิตของอาจารย์ ตนเป็นเพียงปัจจัย ตนจึงไม่บาปเพราะไม่ได้ไปตัดเส้นทางนิพพานของท่าน

            ส่วนอดีตพระอาจารย์มิตซูโอะ ก็กล่าวเช่นกันว่า ตนก็ไม่บาปเพราะเต็มใจลาสิกขาแล้ว และเริ่มต้นชีวิตใหม่ เรื่องที่เสียใจมากที่สุดก็คือเรื่องที่คณะกรรมการมูลนิธิไม่ต้องการให้ตนไปบรรยายที่วัดหรือมูลนิธิ และไม่ให้เข้าวัดเลย ซึ่งตนเป็นคนสร้างมา หนังสือของตนก็พยายามเก็บออกจากวัดและใช้หนังสืออื่น ๆ แทน และสร้างภาพว่าตนเป็นคนผิดปกติ

อย่างไรก็ดี คุณแอน กล่าวด้วยว่า ตนก็เข้าใจความรู้สึกของลูกศิษย์ท่าน เพราะรักและศรัทธาท่านมาก และไม่คิดว่าท่านจะสึกเอง และโทษตน อีกทั้งในปีนี้ท่านจะได้เป็นเจ้าคุณแล้ว แต่ท่านก็ไม่ยึดติดผ้าเหลือง ทุกสิ่งอยู่ที่จิตเป็นสิ่งสำคัญ และที่เทศน์ให้กับทุกคนฟังก็คือเรื่องสุขภาพใจดี สัมมาทิฏฐิ อริยมรรค 8 แต่ไม่ได้สอนให้บรรลุอรหันต์ในชาตินี้ ตนคิดว่าท่านเป็นพระที่ดี เพราะลาสิกขาเร็ว เนื่องจากท่านรู้ตัวว่าหวั่นไหว จิตท่านผิดปกติ ท่านต้องรักษาจิตให้บริสุทธิ์ และไม่อยากให้ความเป็นพระมัวหมอง และถึงแม้เป็นฆราวาสก็สามารถเผยแพร่ศาสนาได้เช่นกัน

            สำหรับชีวิตของอาจารย์มิตซูโอะในขณะนี้นั้น เจ้าตัว เผยว่า ตอนบวชพระก็ไม่มีปัญหาสบายใจ แต่เดี๋ยวนี้ทางกายก็มีความสุขแบบครอบครัว ส่วนทางจิตใจก็มีปัญหา แต่คิดว่าเป็นการปฏิบัติธรรมจึงไม่มีปัญหา ทุกข์เป็นครูแล้วก็เป็นปุ๋ยแห่งชีวิต เมื่อเราเจอวิกฤตก็ใช้สติปัญญาพยายามพ้นจากวิกฤต นี่คือการสร้างบารมี ถ้าผ่านอุปสรรคได้ก็เป็นกำไรแห่งชีวิต

            สุดท้ายเมื่อถามว่าหากย้อนเวลากลับไปได้อยากจะเปลี่ยนแปลงอะไร อาจารย์มิตซูโอะ กล่าวว่า ไม่อยากเปลี่ยนแปลงอะไร ทุกวินาที การตัดสินใจมีหลายทาง เลือกมาอย่างไรก็แล้วแต่ ถือว่าดีที่สุด ถึงจะมีทุกข์มากขนาดไหนก็ตาม เราก็คิดหาทางออก ปัญหาทุกอย่างก็มีทางออก ปัญหามากมายเท่าไร ก็ยิ่งท้าทาย สร้างกำลังใจ หรือเป็นการสร้างบารมี ตั้งใจ คิดดี พูดดี ทำดีในทุกกรณี ทุกสถานการณ์ อันนี้เป็นสิ่งที่ตนสอนมาตลอด และมีคนพูดว่าเมื่อตนสึกแล้ว ธรรมะที่ตนสอนจะเป็นโมฆะหรือไม่ ซึ่งมันไม่ใช่เลย สิ่งที่ตนสอนมาในธรรมาสน์หรือหนังสือต่าง ๆ ตอนนี้ตนกำลังเรียนจากประสบการณ์จริง ถ้าผ่านจุดนี้ได้ชีวิตก็จะมีคุณค่าขึ้น และแสดงให้เห็นว่าธรรมะที่เคยสอนไปนั้นมีชีวิตชีวาจริง ๆ


 

Credit: www.kapook.com
10 ต.ค. 56 เวลา 12:00 3,545 60
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...