ศาลฎีกาฯ ชี้ว่ากรณีพ้นจากตำแหน่งคดีขาดอายุความแล้ว จึงจะวินิจฉัยเฉพาะกรณีพ้นจากตำแหน่งแล้วเป็นเวลา 1 ปี พบว่า พล.อ.เสถียรไม่ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อป.ป.ช. รวม 5 รายการ ประกอบด้วย 1.บัญชีเงินฝากประจำธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) สาขาอุบลราชธานี เลขที่บัญชี 305-3-32657 6/11 ของผู้คัดค้าน 2.รายการเงินลงทุนในสหกรณ์ออมทรัพย์หน่วยบัญชีทหารพัฒนา จำกัด ของผู้คัดค้าน 3.รายการเงินลงทุนใน หจก.กรุณาภรณ์ สหกิจ 1997 ของคู่สมรส จำนวน 1,500,000 บาท 4.ที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 1461 และเลขที่ 1526 ต.แสนสุข (ธาตุ) อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ของคู่สมรส และ 5.รายการหนี้สินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือกับ หจก.กรุณาภรณ์ สหกิจ 1997 ของคู่สมรส มูลค่า 1,500,000 บาท
องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาฯ จึงพิพากษาว่า พล.อ.เสถียร จงใจยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อป.ป.ช.ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 264 ประกอบมาตรา 263 วรรคหนึ่ง และพ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 41 ห้ามพล.อ.เสถียร ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ 15 ก.พ. 2551 และมีโทษทางอาญา จำคุก 2 เดือน และปรับ 4,000 บาท แต่พล.อ.เสถียร ไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี