ราชวงศ์ชิงขึ้นปกครองประเทศจีนมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1644 แต่ต่อมาอำนาจของ
ระบอบจักรพรรดิเริ่มสั่นคลอน เพราะในช่วงปลายศตวรรษที่ 1800 เกิดการ
เคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ฝักใฝ่สาธารณรัฐขึ้นและเริ่มแพร่หลายทำให้ระบอบ
จักรพรรดิเริ่มอ่อนแอลง
หลังจากพระจักรพรรดิเซียนเฟิงสวรรคตในปี 1861 พระนางซูสีไทเฮาพระ
มเหสีปฎิเสธที่จะย้ายออกจากวัง และขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระราช
โอรสวัย 6 ชันษา พระนางเป็นผู้ปกครองที่ปราศจากความปราณี จนได้รับ
ขนานนามว่า "นางพญามังกร" ครั้นแล้วพระราชโอรสของพระนางก็สิ้นพระ
ชนม์ลงในปี 1875 พระนางก็ยังคงยึดอำนาจไว้ด้วยการนำพระราชนัดดาวัย
4 ชันษา นามว่าพระเจ้ากวงซู ขึ้นสืบราชสมบัติและสำเร็จราชการแทนพระ
ราชนัดดาอีก ต่อมาในปี 1898 พระเจ้ากวงซูพยายามทวงพระราชอำนาจคืน
พระนางจึงจับพระองค์ขังคุกจนสิ้นพระชนม์ในปี 1908 และพระนางเองก็สิ้น
พระชนม์หลังจากพระเจ้ากวงซูเพียง 1 วัน
ดังนั้นพระราชสมบัติจึงตกเป็นของผู่อี๋ (ภาษาอังกฤษเรียก ปูยี) ซึ่งต้องขึ้น
ครองราชในปี 1908 ด้วยวัยเพียง 2 ชันษา ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ราชสำนักกำ
ลังอ่อนแอมาก จนในที่สุดก็เกิดการปฏิวัติขึ้นในปี 1911 และมีการสถาปนา
สาธารณรัฐจีนขึ้นในปี 1912 ยุวกษัตริย์ผู่อี๋ (ปูยี) จึงจำต้องสละราชสมบัติ
อย่างไรก็ตามการสละบัลลังก์ก็มิได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตของพระจักรพรรดิ
ผู่อี๋มากนัก พระองค์ยังคงใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยอยู่ภายในกำแพงพระราชวัง
ต้องห้ามในปักกิ่งซึ่งปกป้องพระองค์จากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ
แม้ว่าจะไม่มีตำแหน่งจักรพรรดิแล้ว ผู่อี๋ (ปูยี) ก็ยังคงถูกรายล้อมด้วยคนรับ
ใช้นับพันที่ยังจงรักภักดีและพร้อมตอบสนองความปรารถนาทุกประการของ
พระองค์แม้แต่บิดามารดาบังเกิดเกล้าก็ยังยินดีคุกเข่าให้กับเด็กชายน้อยผู้
นี้ต่อไป จนกระทั่งในปี 1917 ผู่อี๋ก็ได้ขึ้นบัลลังก์อีกครั้งแต่เพียงชั่วระยะเวลา
ไม่ถึง 2 สัปดาห์เท่านั้น ชีวิตในวัยเยาว์ของผู่อี๋นั้นได้อยู่แต่ในพระราชวัง ไม่
เคยได้ออกไปไหน พระองค์ได้รับการศึกษาอย่างดีโดยเฉพาะในเรื่องภาษา
อังกฤษ พระองค์ทรงสนใจทุกเรื่องเกี่ยวกับชาวตะวันตกและตัดสินใจใช้ชื่อ
ภาษาอังกฤษว่า "เฮนรี่" พระองค์ทรงปรารถนาโลกภายนอกเป็นอย่างมาก
จนมีหลายครั้งที่ต้องทำการติดสินบนแก่ยาม เพื่อหลบหนีไปจากการบังคับ
จองจำภายในกำแพงพระราชวังต้องห้าม
ผู่อี๋ (ปูยี) ถ่ายตอนที่อยู่เทียนสิน
จนกระทั่งในปี 1924 ผู่อี๋ถูกบังคับให้ย้ายจากพระราชวังถือเป็นการออกสู่
โลกภายนอกอย่างถาวรดังที่เขาเฝ้าคอยมาทั้งชีวิต เขาเริ่มต้นการใช้ชีวิต
สามัญชนด้วยอัญมณีและทรัพย์สินที่นำออกมาจากพระราชวัง แล้วกล่าว
ว่า "ข้าพเจ้าได้พบกับอิสระแล้ว" อิสระภาพของผู่อี๋มิได้ยั่งยืนดังที่วาดหวัง
ไว้ เพราะในปี 1932 ขณะนั้นแมนจูเรียและมองโกเลียตกอยู่ในการปกครอง
ของญี่ปุ่น ญี่ปุ่นเล็งเห็นประโยชน์จากการนำผู่อี๋มารับตำแหน่งประธานาธิบดี
และเป็นจักรพรรดิหุ่นเชิดของประเทศแมนจูเรีย แต่หลังจากญี่ปุ่นแพ้สงคราม
ในปี 1945 ผู่อี๋ก็ถูกจับเป็นนักโทษของโซเวียตและถูกคุมขังอยู่ในบ้านของเขา
ในปี 1950 อดีตจักรพรรดิวัย 44 ปี ก็ได้กลับสู่มาตุภูมิอีกครั้งในฐานะอาชญา
กรสงคราม ช่วง 9 ปีต่อจากนั้นเขาได้เปลี่ยนแนวคิดจากผู้สนับสนุนระบอบ
กษัตริย์อย่างแรงกล้าไปเป็นผู้สนับสนุนระบอบคอมมิวนิสสต์อย่างทุ่มเท และ
เมื่อถูกปล่อยตัวในปี 1959 เขาก็แทบไม่เหลือคราบของผู่อี๋คนเดิมอีกเลย ต่อ
มาผู่อี๋ได้กลายมาเป็นคนสวนของสวนพฤกษศาสตร์ปักกิ่ง เรียนรู้การเตรียม
ดินเพื่อการเพาะปลูกบนผืนแผ่นดินที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นแผ่นดินของพระองค์
และจากโลกนี้ไปในปี 1967 ในฐานะคนสวนที่อาศัยอยู่ในบ้านที่ชำรุดทรุดโทรม
รวมภาพจริงของผู่อี๋ (ปูยี) และครอบครัว
...ภาพวัยเด็ก...
องค์ชายชุน บิดาของผู่อี๋ (ซ้าย) ผู่อี๋ตอนอายุ 2 ปี (กลาง)
องค์ชายชุน ปูเจี๋ย(นั่งบนตัก) ผู่อี๋(ยืน)(ขวา)
ผู่อี๋ อายุ 3 ชันษา ว่าราชการ ผู่อี๋บนบัลลังก์ออกว่าราชการ
...ภาพวัยรุ่นจนถึงวัยหนุ่ม...
เรจินัลด์ จอห์นสตัน พระอาจารย์ชาวสก็อตแลนด์
เข้ารับตำแหน่งจักรพรรดิแมนจูเรีย ในชุดจักรพรรดิแมนจูเรีย
...ถ่ายร่วมกับฮองเฮาวานจง ภรรยาคนแรก...
ถ่ายเมื่อปี 1932
...ภรรยาของผู่อี๋ (ปูยี)...
คนที่ 1 ฮองเฮาวานจง หรือ อลิซาเบท (ซ้าย) คนที่ 2 สนมเหวินซิ่ว (ขวา)
คนที่ 3 อี้หลิง (ซ้าย) คนที่ 4 อี้จิน (ขวา) คนที่ 5 หลี่ซู่เสียน (กลาง)
...บั้นปลายชีวิต...
ในวัยชราต้องเย็บผ้าเองและประกอบอาชีพคนสวนในบั้นปลายของชีวิต
ที่มา : http://www.indepencil.com/กษัตริย์องค์สุดท้าย/
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=drib777&date=25-05-2005&group=11&gblog=1