เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2556 สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่า ผลการวิจัยของสถาบันการศึกษาเชิงประชากรศาสตร์ของฝรั่งเศส เปิดเผยว่า ในปี 2050 (พ.ศ. 2593) ประชากรโลกจะเพิ่มเป็น 9,700 ล้านคน จากระดับปัจจุบัน 7,100 ล้านคน โดยอินเดียจะแซงหน้าจีนกลายเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก

          รายงานการวิจัยของสถาบันประชากรศึกษาของฝรั่งเศสคาดว่า ประชากรบนโลกจะเพิ่มเป็น 10,000-11,000 ล้านคน ภายในปี 2100 (พ.ศ. 2643) ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ขององค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ธนาคารโลก และสถาบันที่สำคัญของโลกแห่งอื่นๆ โดยผลการวิจัยของยูเอ็นในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาระบุว่า ในปี 2050 ประชากรโลกจะเพิ่มเป็น 9,700 ล้านคน โดยจำนวนประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปจะเพิ่มจาก 841 ล้านคนในปัจจุบัน เป็น 2,000 ล้านคน และจากนั้น ประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปก็จะเพิ่มขึ้นอีกเป็นเกือบ 3,000 ล้านคนในปี 2100

          โดยจากรายงานระบุว่า ในปี 2050 ทวีปแอฟริกาจะเป็นที่อยู่ของประชากร 1 ใน 4 ของประชากรทั้งหมดบนโลก และจะมีประชากร 2,500 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าจากปัจจุบันที่มีประชากรอยู่เพียง 1,100 ล้านคนเท่านั้น เนื่องจากอัตราการเกิดของประชากรในแอฟริกาอยู่ที่ราว 4.8 คนต่อผู้หญิง 1 คน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกซึ่งอยู่ที่ 2.5 คน ส่วนทวีปอเมริกาจะมีประชากรทะลุ 1,000 ล้านคน โดยจะมีประชากรเพิ่มเป็น 1,200 ล้านคน จากปัจจุบันที่มีอยู่ 958 ล้านคน ขณะที่ประชากรในทวีปเอเชียจะเพิ่มขึ้นจาก 4,300 ล้านคน เป็น 5,200 ล้านคน
          
          ทั้งนี้ สำหรับปัจจุบันนี้ ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก ได้แก่

          1. จีน 1,300 ล้านคน
          2. อินเดีย 1,200 ล้านคน
          3. สหรัฐอเมริกา 316.2 ล้านคน
          4. อินโดนีเซีย 248.5 ล้านคน
          5. บราซิล 195.5 ล้านคน

          อย่างไรก็ดี คาดว่าในปี 2050 อินเดียจะครองตำแหน่งประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกด้วยจำนวนประชากร 1,600 ล้านคน ตามด้วยจีนที่มีประชากร 1,300 ล้านคน นอกจากนี้ ยังคาดว่าไนจีเรียซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในภูมิภาคแอฟริกา จะมีประชากรถึง 444 ล้านคน มากกว่าสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะมีประชากร 400 ล้านคนในปี 2050