ตีสิบเผยชีวิตหนุ่มป่วยประหลาด ชอบทำร้ายตัวเอง...รู้ตัว แต่คุมไม่ได้


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รายการตีสิบ 

          ตีสิบ ตีแผ่ชีวิตหนุ่มวัย 23 ปี ป่วยโรคทูเรทท์ มีพฤติกรรมทำร้ายตัวเองตลอดเวลา ชอบด่าทอ ถุยน้ำลาย แม้จะรู้ตัวแต่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย วอนคนในสังคมเข้าใจว่าโรคนี้มีอยู่จริง
 
          ยังมีโรคภัยไข้เจ็บอีกหลายโรคที่พบเห็นกันได้ไม่บ่อยนัก แต่เมื่อพบเห็นสักครั้ง และรู้ว่าเป็นโรคที่ทำให้ผู้ป่วยมีพฤติกรรมแปลก ๆ คนก็จะมองว่าโรคนั้นเป็น "โรคประหลาด" อย่างเช่นเรื่องราวของชายผู้นี้ที่อาจจะเรียกได้ว่าป่วยด้วย "โรคประหลาด" ซึ่งรายการตีสิบ เมื่อคืนวันอังคารที่ 1 ตุลาคม 2556 นำมาเสนอให้รับรู้กัน

          คุณบิ๊ก ศิวรุจ มีคุณสมบัติ คือชายที่ป่วยด้วยโรคประหลาดนี้ ซึ่งตลอดเวลาที่เขามานั่งคุยในรายการ เขาจะยกไม้ยกมือทุบตีตัวเองอยู่เป็นระยะ ๆ โดยที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาบอกว่า ตัวเองป่วยด้วยโรคทูเรทท์ซินโดรม (Tourette Syndrome) เป็นโรคที่เกิดจากสารสื่อประสาทในสมองผิดปกติ ทำให้แขนกระตุกอยู่ตลอดเวลา ซึ่งตัวเองก็รู้ตัวด้วย แต่ห้ามไม่อยู่ ขณะที่ทางแพทย์ก็ยังไม่ทราบสาเหตุของโรคนี้ แต่คาดว่าอาจจะเกี่ยวกับเรื่องพันธุกรรมก็เป็นได้

          เมื่อพูดถึงอาการของโรคนี้ คุณบิ๊ก บอกว่า ตอนแรกเขาเริ่มมีอาการคล้ายคนป่วยภูมิแพ้ รู้สึกอยากขากเสลดตลอดเวลา จากนั้นก็เริ่มมีอาการแขนขากระตุกโดยที่เขาไม่รู้ตัว ซึ่งตอนนั้นคุณแม่ก็จะคอยบอกว่าไม่ให้ทำท่าทางแบบนี้ เพราะทำให้บุคลิกภาพเสีย แต่เขาก็ยืนยันว่าตัวเองไม่รู้ตัว 

          ขณะที่คุณแม่อ้อย คุณแม่ของคุณบิ๊ก เสริมว่า ลูกชายป่วยด้วยโรคนี้ตั้งแต่อายุ 13 ปี จนตอนนี้ก็อายุ 23 ปีแล้ว ซึ่งนอกจากอาการทางร่างกายแล้ว ลูกชายยังมีอาการสบถคำหยาบด้วย ทั้งที่ปกติเขาไม่เคยพูดคำหยาบเลย แต่เขาบอกว่าไม่สามารถบังคับตัวเองได้ จากนั้นอาการของโรคก็พัฒนามากขึ้นเรื่อย ๆ ไปจนถึงกัดแขนตัวเอง ชกตัวเองจนปากแตก ทุบตัวเองจนหน้าเขียว แว่นแตก แต่หนักที่สุดก็ตอน ม.6 ที่บิ๊กหันไปด่าคนที่เดินผ่านมา จนคนตกอกตกใจ ทำให้คุณแม่กลัวว่าลูกชายจะถูกชกปากแตกเข้าสักวัน เพราะชอบไปด่าคนอื่นโดยห้ามตัวเองไม่ได้ แถมยังชอบพ่นน้ำลาย พ่นอาหารทิ้งจนกระจุยกระจายอีกต่างหาก

          ด้วยอาการของโรคที่เป็นแบบนี้ จึงทำให้เกิดปัญหาต่อการใช้ชีวิตในสังคม อย่างเช่นเวลาขึ้นรถแท็กซี่ คุณแม่ก็จะต้องอธิบายให้คนขับแท็กซี่ฟังก่อนว่าลูกชายเป็นโรคแบบนี้นะ ขออย่าถือสาน้อง ส่วนบิ๊กก็ต้องอธิบายให้อาจารย์และเพื่อนฟังว่าตัวเองเป็นโรคอะไร เพราะจะมีพฤติกรรมถุยน้ำลาย พ่นข้าวตลอดเวลากินข้าวด้วยกัน 

          ที่น่ากลัวคือมีอยู่ครั้งหนึ่ง บิ๊กเคยเกือบถูกทำร้ายจากอาการของโรคนี้ เพราะไปถุยน้ำลายใส่หน้าร้านขายของที่ปากคลองตลาด จนคนขายของถือมีดมาขู่ไล่ให้เขารีบไปเลยทีเดียว ซึ่งบิ๊กก็ไม่โกรธ เพราะรู้ว่าคนคงไม่เข้าใจในโรคที่เขาเป็นได้ง่าย ๆ 

          ทั้งนี้ แม้ว่าตอนนี้จะอาการดีขึ้นมากแล้ว แต่บิ๊กก็ยังมีอาการตีอกชกตัว ด่าทอ โวยวาย ถ่มน้ำลายอยู่ ซึ่งอาจารย์หมอที่ศิริราชได้ให้ข้อมูลว่า ปกติแล้วโรคนี้เรียกว่าโรคติกส์ (Tices Disorders) จะเกิดกับเด็กอายุสัก 3-4 ขวบ แล้วจะหายไปเองตอนอายุประมาณ 12 ขวบ แต่บิ๊กกลับมาเริ่มป่วยตอนอายุ 13 แล้วอาการของโรคพัฒนาแรงขึ้นจนกลายเป็นโรคทูเรทท์ ที่ถือว่าโรคติกส์ระดับรุนแรงที่สุด ซึ่งมีผู้ป่วยเพียง 1 ในล้านคนเท่านั้น

          สำหรับการรักษาโรคนี้ แพทย์จะให้ทานยาตลอด โดยตอนแรก ๆ ที่รักษานั้น แพทย์ก็มองว่าน่าจะรักษาให้หายได้ แต่เมื่อผ่านมาสิบปีจนถึงตอนนี้ ทางแพทย์เริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าจะรักษาให้หายขาดได้หรือไม่ เพราะบิ๊กมาป่วยตอนอายุมากแล้ว 

          บิ๊ก บอกว่าตอนแรกที่เป็นก็ทำใจไม่ได้ ได้แต่เก็บตัวอยู่ในบ้าน อาย ไม่กล้าออกไปไหน ทั้งที่ปกติตัวเองเป็นคนพูดมาก แต่เมื่อรู้ว่าตัวเองอาจต้องอยู่กับโรคนี้ไปตลอดชีวิต บิ๊กก็ได้พยายามปรับตัวเพื่อให้อยู่กับโรคนี้ให้ได้ โดยเริ่มยอมรับว่าโรคนี้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา และเริ่มศึกษาหาข้อมูลโรคนี้ รวมทั้งหาวิธีการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนทั่วไปในสังคม ซึ่งเขาก็ได้รู้ตัวเองว่า ถ้าช่วงไหนที่ต้องใช้สมาธิมาก ๆ เช่น ระหว่างเล่นกีฬา เล่นดนตรี พรีเซ็นต์งานหน้าห้อง เขาจะไม่มีอาการเหล่านี้เลย แต่อาการจะมากขึ้นเมื่อรู้สึกเหนื่อย ตื่นเต้น ดีใจ หรือมีสิ่งเร้าต่าง ๆ เข้ามา

          ทั้งนี้ คุณแม่ก็ได้แนะนำพ่อแม่ผู้ปกครองที่มีบุตรหลานมีอาการลักษณะนี้ให้รีบพาลูกไปพบแพทย์ เพราะอย่างตัวคุณแม่มารู้ว่าอาการที่ลูกเป็นเกิดจากความป่วยก็ช้าเกินไปแล้ว นอกจากนี้ คุณแม่ก็ยังได้รับคำแนะนำให้พาลูกไปใส่บาตรให้เจ้ากรรมนายเวรและนั่งสมาธิบ่อย ๆ โดยคุณแม่ก็ร่วมทำบุญด้วย และแทบไม่น่าเชื่อว่าการทำเช่นนี้เพียง 2 เดือนจะทำให้อาการดีขึ้นมาก

          ในตอนท้าย บิ๊กได้ขอบคุณคนที่ไม่เข้าใจเขาที่ทำให้เขาเข้มแข็ง และขอบคุณคนที่เข้าใจเขาที่คอยเป็นกำลังใจให้ รวมทั้งคุณครู เพื่อน ๆ และที่สำคัญที่สุดก็คือคุณแม่ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าเขาจะเป็นมากแค่ไหน แม่ก็ไม่เคยทิ้ง คอยปลอบเขาเสมอเวลาที่มีคนไม่เข้าใจ 

          "ถ้าไม่มีแม่ บิ๊กก็เคยคิดเหมือนกันว่าตัวเองจะอยู่ แต่แม่ก็ให้กำลังใจเสมอว่าคนเรามีทางเดินของตัวเอง มีชีวิตที่ต้องเป็นของตัวเอง มาอยู่กับแม่ตลอดไม่ได้ รวมถึงทุก ๆ อย่างที่แม่ทำให้ มันมากกว่าอะไรทั้งหมด จะบอก⸧่าขอบคุณแม่มาก ๆ ที่เลี้ยงมา รู้สึกภูมิใจและรักแม่คนนี้มาก" บิ๊กเผยความในใจด้วยน้ำตา

          แม้จะเป็นโรคที่แปลกประหลาดแทบไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่เชื่อไหมว่าในประเทศไตยมีผู้ป่วยโรคนี้ไม่น้อยเลย ดังนั้นแล้ว ถ้าคนในสังคมได้รู้จักว่าโรคนี้มีอยู่จริง และเข้าใจในตัวผู้ป่วย อย่าไปถือสาในสิ่งที่ผู้ป่วยไม่ได้เจตนาจะแสดงออกมา ກ็จะทำให้ผู้ป่วยโรคนี้สามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมได้อย่างไม่รู้สึกแปลกแยก

Credit: http://hilight.kapook.com/view/91830
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...