จาการกรณีคนร้ายใช้อาวุธปืนสงคราม ยิงถล่มนายอมร รักบุตร อายุ 52 ปี เจ้าของบริษัทรักษาความปลอดภัย อยู่บ้านเลขที่ 34 ม.2 ต.ดินอุดม เป็นอดีตผญบ.ม.2 ต.ดินอุดม และผู้สมัคร ส.อบต.ดินอุดม นายสุธรรม ผลหิรัญ อายุ 46 ปี อยู่บ้านเลขที่ 119 ม.3 ต.ดินอุดม นักธุรกิจรับเหมาปรับที่ดิน และนายสมชาย แก้วเพชร อายุ 41 ปี อยู่บ้านเลขที่ 133 ม.2 ต.ลำทับ พนักงานรักษาความปลอดภัยเสียชีวิต รวม 3 ศพ เหตุเกิดภายในป้อมยามศูนย์เรียนรู้ยางพารา กองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง จ.กระบี่ ต.ดินอุดม อ.ลำทับ เมื่อวันที่ 2 ต.ค. ที่ผ่านมา
วันที่ 3 ต.ค. ผู้สื่อข่าว ข่าวสด รายงานว่า พล.ต.ต.นันทเดช ย้อยนวล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกระบี่ เปิดเผยความคืบหน้าคดีว่า จากการลงพื้นที่ประชุมทีมสืบสวน ทราบว่า กลุ่มคนร้ายที่ก่อคดีอุกฉกรรจ์ มีมากกว่า 5 คน แบ่งออกเป็น 2 ทีม โดยกลุ่มคนร้ายทีมแรกไม่ต่ำกว่า 3 คนสวมชุดลายพราง เข้าปิดล้อมป้อมยามและสาดกระสุนใส่ผู้ตาย ส่วนทีมที่สอง คนร้าย 2 คน ได้เข้าไปขู่บังคับเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในอาคารที่ทำการของศูนย์เรียนรู้ยางพาราฯ ไม่ให้ออกมาช่วยพนักงานรักษาความปลอดภัยที่อยู่ในป้อม ด้านหน้าของสำนักงาน และคนร้ายอีก 3 คนที่มีอาวุธครบมือ ซึ่งยืนยัน 100 เปอร์เซ็นต์ ว่าเป็นอาวุธปืนสงคราม ทั้ง 3 กระบอก คือ เอ็ม 16 คาร์บิน และอาร์ก้า ได้ใช้อาวุธปืนกระหน่ำยิงอย่างมืออาชีพ นอกจากนั้นยังมีคนร้ายที่ขับรถและคอยคุ้มกันอยู่ในรถอีก 2 คน ทางเจ้าหน้าที่ได้เก็บหลักฐานทุกอย่างไว้เพื่อทำการตรวจสอบที่มาของอาวุธปืนสงคราม ที่กลุ่มมือปืนใช้สังหารในครั้งนี้ เชื่อว่ากลุ่มมือปืนที่ก่อเหตุครั้งนี้เป็นคนนอกพื้นที่ น่าจะมาจากจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งอยู่ในพื้นที่รอยต่ออำเภอลำทับ
สาเหตุของการก่อคดีในครั้งนี้ มั่นใจว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมืองท้องถิ่น ที่นายอมร ได้ลงสมัคร สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล (ส.อบต) ของหมู่ที่ 2 ซึ่งจะมีการกำหนดวันเลือกตั้งในวันที่ 20 ต.ค. นี้ แต่การที่ผู้ตายได้รับการชนะการประมูลงานของศูนย์เรียนรู้ยางพาราฯ ประเด็นนี้มีความเป็นไปได้มากที่สุด เพราะมีการแข่งขันสูง และมีผลประโยชน์มหาศาล แต่บริษัทเจ้าเก่าที่ได้สัมปทานมาก่อนหน้านี้ แพ้การประมูล ซึ่งทราบแล้วว่าเป็นบริษัทอะไร ส่วนกรณีนายสุธรรม ซึ่งเป็นผู้รับเหมาปรับที่ดิน ไม่น่าจะเกี่ยวข้อง เพราะคืนเกิดเหตุมาพูดคุยกับนายอมรในฐานะเพื่อนกันเท่านั้นแต่มาถูกยิงเสียชีวิตด้วย
ด้าน พ.ต.อ.บุญทวี โตรักษา รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกระบี่ กล่าวว่า ส่วนของภาพวงจรปิด ขณะนี้ยังไม่พบ เพราะในป้อมยามที่เกิดเหตุไม่มีกล้องวงจรปิด ส่วนที่อาคารสำนักงานศูนย์เรียนรู้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ แต่กำลังตรวจสอบพฤติกรรมของกลุ่มคนร้ายที่ก่อคดีในลักษณะนี้ ว่าเคยก่อคดีที่ไหนมาบ้าง และสามารถยืนยันได้ว่ากลุ่มคนร้ายกลุ่มนี้ไม่ใช่คนในพื้นที่ และไม่อยู่ในกระบี่ แต่มาจากจังหวัดข้างเคียง คือ นครศรีธรรมราช เนื่องจากอำเภอลำทับ เป็นพื้นที่รอยต่อกับจังหวัดนครศรีธรรมราช หลังจากก่อคดีเสร็จมีความรวดเร็วในการหลบหนี เพราะคนร้ายรู้เส้นทางในการหลบหนีเป็นอย่างดี ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถตรวจสกัดได้ทัน ส่วนกลุ่มคนร้ายจะเป็นคนมีสี จากหน่วยงานใด ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้