หลวงพ่อด่วน เกจิดังเผาไม่ไหม้!
ฮือฮา พระเกจิชื่อดังเผาไม่ไหม้! หลังจุดไฟเผาหลวงพ่อด่วน พระสงฆ์เกจิดังเมืองระนอง นานครึ่งชั่วโมงปรากฏว่าไฟไม่ไหม้แม้แต่จีวร
คณะศิษย์เตรียมบรรจุใส่โลงแก้วให้ประชาชนกราบไหว้ ลูกศิษย์ หลวงพ่อด่วน เผยก่อนมรณภาพ หลวงพ่อด่วน เคยสั่งไม่ให้เผาสังขารเพราะกลัวร้อน แปลกแต่จริง
รายงานว่า ในพิธีพระราชทานเพลิงศพพระครูประภัสรวิริยคุณ หรือหลวงพ่อด่วน ถามวโร อายุ 90 ปี 69 พรรษา พระเกจิชื่อดังของ จ.ระนอง อดีตเจ้าอาวาสวัดบางนอน เมื่อเวลา 21.00 น. ของวันที่ 8 พ.ย. ณ เมรุลอยวัดวารีบรรพต (วัดบางนอน) ต.บางนอน อ.เมือง จ.ระนอง มีนางกาญจนาภา กี่หมัน ผู้ว่าฯระนอง เป็นประธานในพิธี มีพระราชรณังคมุณี เจ้าคณะจังหวัดระนอง พระสงฆ์ ข้าราชการ คณะศิษยานุศิษย์เข้าร่วมพิธีเป็นจำนวนมากนั้น หลังจากที่นำศพของหลวงพ่อด่วนขึ้นเมรุลอยเพื่อประกอบพิธี เมื่อจุดไฟเผาศพแล้วใช้พัดลมเป่าเร่งเปลวไฟได้สักครู่ใหญ่ประมาณ 30 นาที ปรากฏว่าเปลวไฟไม่ได้เผาไหม้ศพของหลวงพ่อ แม้แต่จีวรที่ห่มอยู่ก็มีรอยไหม้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ท่ามกลางความตื่นตะลึงของบรรดาลูกศิษย์และผู้มาร่วมพิธีจำนวนมาก
เมื่อเห็นดังนั้นคณะลูกศิษย์จึงตัดสินใจยุติการเผาโดยใช้น้ำราดดับไฟทันที จากนั้นนำเอาศพของหลวงพ่อใส่โลงนำไปตั้งไว้ในวิหารพระพุทธไสยาสน์ พร้อมทั้งเปลี่ยนจีวรให้กับศพของหลวงพ่อใหม่ ท่ามกลางเสียงฮือฮาของบรรดาลูกศิษย์ที่เชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อ ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่มูลนิธิระนองสงเคราะห์ได้เข้ามาควบคุมเหตุการณ์อย่างใกล้ชิด และกันไม่ให้ประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าใกล้ศพของหลวงพ่อ เพราะเกรงจะเกิดความวุ่นวายเข้าแย่งชิงจีวร และเครื่องอัฏฐบริขารของเกจิดัง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศพของหลวงพ่อด่วน อยู่ในสภาพคล้ายคนนอนหลับ มือทั้งสองข้างวางบนอก อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ผิวหนังบริเวณแขนมีรอยไหม้เพียงเล็กน้อย ลำตัวและใบหน้าไม่มีรอยไหม้ ส่วนจีวรที่ห่มอยู่ก็มีรอยไหม้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และทันทีที่พระสงฆ์และเจ้าหน้าที่เปลี่ยนจีวรผืนใหม่ให้แทน ประชาชนต่างฮือเข้าไปแย่งชิงจีวรผืนเก่ากันจำนวนมากเพื่อนำไปสักการบูชา หลังจากเปลี่ยนจีวรแล้วคณะลูกศิษย์ได้ยกศพหลวงพ่อขึ้นชูเหนือศีรษะเพื่อให้ทุกคนได้เห็นกันชัดๆ จากนั้นคณะกรรมการวัดได้ประชุมร่วมกัน และมีมติให้เก็บสังขารหลวงพ่อไว้ในโลงแก้ว
นายนิพนธ์ ลิ้มรักษา รองผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคระนอง ลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดหลวงพ่อ กล่าวว่า ก่อนหลวงพ่อมรณภาพได้สั่งเสียไว้ว่าอย่าเผาเพราะกลัวร้อน ให้เก็บสังขารไว้ในโลงแก้วเพื่อให้ผู้เลื่อมใสศรัทธาได้สักการบูชา แต่ทุกคนไม่เชื่อ กระทั่งเมื่อเผาไปได้สักพักใหญ่เห็นว่าไฟไม่ไหม้จึงตัดสินใจยุติการเผาในที่สุด
นายสมเพียร บั่นยี่เฉ่ง ชาวบ้านบางนอน กล่าวว่า เชื่อว่าเกิดจากความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อที่ได้ปฏิบัติธรรมมาอย่างเคร่งครัดยาวนาน ขณะที่กำลังเผาอยู่นั้นตนสังเกตอยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นว่าไฟไม่ไหม้ร่างของท่านแล้วจึงตะโกนให้เอาน้ำมาดับไฟทันที
ด้านพระสุรัตน์ อชิโต รักษาการเจ้าอาวาส กล่าวว่า คณะกรรมการวัดและศิษยานุศิษย์เห็นพ้องกันว่าควรเก็บสังขารของหลวงพ่อไว้ในโลงแก้วตามความประสงค์ของหลวงพ่อ เพื่อให้ประชาชนได้กราบบูชาต่อไป
อย่างไรก็ตาม ก่อนประกอบพิธีตลอดทั้งวันฝนได้ตกตลอดเวลา แต่เมื่อถึงเวลาทำพิธีพระราชทานเพลิงฝนได้หยุดตก กระทั่งในเวลา 21.00 น. ได้ประกอบพิธีประชุมเพลิง แต่เมื่อเผาแล้วปรากฏว่าไฟไม่ไหม้ศพ
สำหรับพระครูประภัสรวิริยคุณ มรณภาพเมื่อวันที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมา ด้วยอาการปอดติดเชื้อและโรคแทรกซ้อน ณ โรงพยาบาลระนอง สิริอายุรวม 90 ปี 69 พรรษา เกิดเมื่อวันที่ 10 พ.ค.2460 ชื่อเดิม ด่วน ปรางสุวรรณ โยมพ่อชื่อนายแดง โยมมารดาชื่อนางปราง ภูมิลำเนาเดิมอยู่บ้านท่าหิน ต.ท่าหิน อ.สะทิงพระ จ.สงขลา มีพี่น้องรวม 4 คน อุปสมบทเมื่อตอนอายุ 21 ปี อยู่วัดบางแก้ว อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง และได้ออกธุดงค์ไปตามจังหวัดต่างๆ กระทั่งมาสร้างวัดบางนอน ขึ้นในปี 2502 เป็นต้นมา ขณะมีชีวิตอยู่ได้ทำคุณประโยชน์ให้แก่พระพุทธศาสนาและประเทศชาติมาโดยตลอด อาทิ การก่อสร้างพระพุทธไสยาสน์ (พระนอน) ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ จัดสร้างวัตถุมงคลหลวงพ่อทวด วัดบางนอน ซึ่งได้รับความนิยมจากเซียนพระจำนวนมาก นำรายได้มาสร้างอุโบสถและพระพุทธไสยาสน์จนแล้วเสร็จสมบูรณ์จวบจนถึงปัจจุบัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดทั้งวันหลังจากข่าวศพหลวงพ่อด่วน ไม่ไหม้ไฟแพร่สะพัดออกไป ประชาชนจำนวนมากได้เดินทางไปกราบไหว้สักการบูชาศพของหลวงพ่อที่วัดบางนอน พร้อมร่วมบริจาคเงินทำบุญเพื่อซื้อโลงแก้วสำหรับบรรจุศพ นอกจากนี้วัตถุมงคลที่ทางวัดจัดสร้างก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะหลวงพ่อทวด มีประชาชนเช่าไปบูชาไปเป็นจำนวนมากเช่นกัน
พระสุรัตน์ อชิโต รักษาการเจ้าอาวาสวัดวารีบรรพต กล่าวว่า ตั้งแต่ค่ำวันที่ 9 พ.ย. เป็นต้นไป จะมีพิธีสวดอภิธรรม เป็นเวลา 3 คืน จากนั้นจะนำศพหลวงพ่อบรรจุใส่โลงแก้วแล้วตั้งไว้ในวิหารพระพุทธไสยาสน์ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนและผู้ที่เลื่อมใสศรัทธากราบนมัสการสักการบูชาต่อไป