บทความดีๆ ที่น่าอ่าน
นาทีพลิกชีวิต
สมัยที่ผมยังเป็นเด็กอายุราว ๑๒-๑๓ ปี มีเพื่อนสนิทที่เรียนห้องเดียวกัน ๒-๓ คน ไปไหนไปด้วยกันและมีเรื่องสนุกๆมาเล่าสู่กันฟังเสมอ
ไอ้ตู่แอบมากระซิบในเช้าวันหนึ่งก่อนเข้าเรียนวิชาแรก "เมื่อวานเย็นกูไปซื้อสมุดร้านเจ็กฮง ได้ดินสอแถมหนึ่งแท่ง" มันหยิบขึ้นมาอวด
ร้านเจ็กฮงขายสมุด เครื่องเขียน หนังสือ ขนาดย่อมในตลาดที่อยู่ไม่ห่างจากโรงเรียนมากนัก
"กูไม่เชื่อ...เจ็กฮงขี้เหนียวจะตาย ไม่เคยให้ของแถมใคร" ไอ้กบว่า
"มึงเดาเก่ง แกไม่ได้แถมหรอก แต่กูแอบจิ๊กมาเฉยๆ"
ผมตาลุก "บ้าชิบ...แล้วแกไม่เห็นรึไง"
"มือชั้นนี้แล้ว" ไอ้ตู่ยกนิ้วโป้งชี้เข้าหาอกตัวเองอย่างหยิ่งๆ
ไอ้กบหยิบดินสอขึ้นมาลูบคลำสักครู่ "กูอยากลองบ้าง"
"เออ...เย็นนี้กูจะพาไป มึงล่ะไปไหม?" มันถามผม ผมลังเลใจ กลัวๆกล้าๆ แต่ดูน่าตื่นเต้นดี
"ไปก็ไป แต่กูอยู่นอกร้านนะ ดูมึงเฉยๆ"
"โธ่...ไอ้ตาขาว" มันสบประมาททำปากเบ้ใส่ผม
วันนั้นเราเรียนหนังสือกันตามปกติ แต่พอนึกถึงการนัดไปจิ๊กของร้านเจ็กฮงเย็นนี้ ผมกลับว้าวุ่นใจ เรียนหนังสือไม่รู้เรื่องขึ้นมาทันที
แล้วเวลาโรงเรียนเลิกก็มาถึง ผมเดินตามหลังฟังไอ้ตู่แนะนำวิธีการให้ไอ้กบเข้าใจ พอไปถึงร้าน ผมยืนสังเกตการณ์อยู่ข้างนอก มองเข้าไปเห็นไอ้ตู่เข้าไปพูดอะไรกับคนขายไม่ทราบ ทำไม้ทำมือประกอบ แต่ผมรู้ว่ามันกำลังเบนความสนใจจากคนขายมาที่มันซึ่งกำลังบังไอ้กบลงมือปฏิบัติการอยู่ เจ้าของร้านหยิบของมาให้ดู ไอ้ตู่สั่นหน้าว่าไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ แล้วทั้งคู่ก็เดินออกมา
เราสามคนเดินต้วตรงไม่พูดกันเลย ผมไม่กล้าเหลียวหลังถ้ามีเสียง "เฮ้ย" ดังมาจากข้างหลังคำเดียว ผมโกยแน่
พอลับมุมร้าน ไอ้ตู่หันมากระซิบ "กบ มึงได้อะไรวะ"
"ยางลบแท่งนึงว่ะ"...
"โธ่...ก็มึงมีแล้ว เอามาทำไมอีก"
"กูก็มีทุกอย่างแล้ว ไม่รู้จะหยิบอะไรดี"
อันที่จริงเราสามคนก็ไม่ขาดแคลนอะไร อุปกรณ์การเรียนมีครบทุกอย่าง พ่อแม่มีฐานะดีไม่เดือดร้อน อยากได้อะไรก็ขอเงินซื้อได้ทุกที
"ก็ว่ามันตื่นเต้นดีว่ะ" ไอ้กบภาคภูมิใจในของที่ได้มา ดินสอและยางลบคู่นั้นมีค่ามากกว่าดินสอและยางลบแท่งอื่นๆที่เคยซื้อมาทั้งหมด
เจ็กฮงรู้จักพ่อแม่ผมดี ในตำบลเล็กๆทุกคนรู้จักกันอย่างสนิทหรือไม่เท่านั้น ดังนั้นเมื่อผมเข้าไปซื้อของในร้านของแกในเช้าวันหนึ่งซึ่งไม่มีคนเลย แกไม่สนใจดูว่าผมหยิบของกี่อย่าง อะไรบ้าง เพียงเอามาให้แกดูแล้วจ่ายเงินก็เท่านั้น
ผมนึกถึงคำยั่วเย้าของเพื่อนทั้งสอง "มึงไม่กล้าหรอกว้า ไอ้ดำ มันต้องอาศัยใจโว้ย ใจถึงซะอย่าง"
ผมต้องแสดงให้ไอ้เพื่อนสองคนรู้ซะมั่งว่า ผมใจกล้าเหมือนกัน ผมเสียบไม้โปรแทกเตอร์เข้าสมุด เอามือหนีบไว้ใจเต้นเหมือนตีกลอง เดินไปจ่ายเงินเฉพาะค่าสมุดเล่มเดียว เจ็กฮงคงสังเกตใบหน้าซีดขาวและมือสั่นน้อยๆของผม แกจ้องมองผมอย่างแปลกใจ ผมรีบหลบตาลงต่ำ หมุนตัวกลับ จะออกจากร้าน
ไอ้ไม้โปรฯเจ้ากรรมมันหล่นลงที่พื้นพอดี!
"เดี๋ยว...อาดำ ลื้อทำไม้โปรตก ลื้อจ่ายเงินค่าไม้โปรรึป่าว"
ผมสะดุ้งเฮือก ตัวแข็ง เหมือนโลกหยุดหมุนมืดมิด ผมอยากให้โลกถล่มทลายลงตรงหน้าเสียดีกว่าที่จะต้องเผชิญเหตุการณ์ระทึกใจข้างหน้า ผมหันหน้ามาพูดปากคอสั่น "อ้อ...ผมลืมไป นี่ค่าไม้โปร ๒ บาท" ผมควักกระเป๋าหยิบเงินให้
"ลื้อก็มีเงินนี่อาดำ ทำไมทำอย่างนี้ อั๊วนึกว่าลื้อไม่ได้เอาเงินมา ติดไว้ก่อนก็ได้"
ผมไม่มีสติปัญญาที่จะแก้ตัวเป็นอย่างอื่น ก้มหน้านิ่งอย่างสำนึกผิด
"เกียรติยศชื่อเสียงของลื้อมีราคาเพียง ๒ บาทเท่านั้นรึ ถ้าคนอื่นรู้เรื่องนี้ ลื้อจะมองเขาได้ยังไง ลื้ออย่าไปเอาอย่างไอ้เพื่อนสองคนนั่น อั๊วรู้...แต่ไม่อยากให้มันอายต่อหน้าคนมากๆ เชื่ออั๊วเถอะ มันไม่ใช่ความกล้าหาญ ไม่ใช่ความเป็นลูกผู้ชายอย่างที่ลื้อคิด ลื้อต้องกล้าหาญที่จะเอาชนะใจใฝ่ต่ำในตัวเอง เอาเถอะอั๊วจะไม่บอกให้ใครรู้ เอ้า...เอาไม้โปรไป อั๊วให้ลื้อเป็นเครื่องสอนใจ"
เจ็กฮงเสียบไม้โปรลงกระเป๋าเสื้อผม ตบบ่าเบาๆผมน่าจะไหว้ แต่ผมทำอะไรไม่ถูกจริงๆ ได้แต่หมุนตัวเดินออกจากร้าน
ผมยังไม่กลับบ้าน ผมนั่งอยู่บนราวสะพานข้ามคูเล็กๆด้วยใจระทึก สมองอึงอลไปด้วยคำพูดของเจ็กฮง คนที่ใครๆหาว่าแกขี้เหนียว ผมเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้ว่า ในใจของแกนั้นเปี่ยมล้นด้วยคุณธรรม ถ้าแกเอะอะโวยวาย ผมจะเอาหน้าไว้ที่ไหน พ่อแม่ผม ครูผมจะเสียใจแค่ไหน
มันเป็นนาทีพลิกชีวิตอย่างแท้จริง พลิกชีวิตจากความคิดชั่วร้ายมาสู่ชีวิตที่ซื่อสัตย์ดีงาม
ผมจะไม่ทำผิดซ้ำสองอีก และจะให้อภัยเด็กทุกคนที่ก้าวพลาดอย่างไม่ตั้งใจ เหมือนอย่างที่ผมพลาดมาแล้ว
ขอบคุณที่มา : จากหนังสือ ชีวิตงาม เล่ม ๙