ความตายเป็นสิ่งที่เกิดได้กับทุกคน แต่สำหรับวายร้ายหรือคนดังแล้วการที่จะตายนี้มันไม่ง่ายเลย เพราะกว่าจะตายพวกเขาต้องดิ้นรน ต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด (แม้สุดท้ายจะตายก็เถอะ)
เอ็ดเวิร์ด ทีช หรือทาช หรือคุณเคราดำ (1680-1718) เป็นโจรสลัดที่มีชื่อเสีย (ง) และโหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ในช่วงปี 1702-1713 (สมัยศตวรรษที่ 18) ในสงครามระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศสและสเปน เขามีรูปลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครเพราะเขาถักหนวดจนเหมือนงูเลื้อยอยู่บนหน้า, สับคนขาด 2 ท่อนด้วยดาบเดียว, พกปืน 6 กระบอกข้างลำตัวแต่ละข้างตลอดเวลา, มีภรรยา 14 คน (อันนี้น่าอิจฉา) เขามีประวัติการปล้นสะดมและฆาตกรรมหลายคดีจนเป็นที่หมายหัวจากสามประเทศ
คุณเคราดำพบจุดจบของเขาที่ทิศเหนือ ชายฝั่งรัฐนอร์ทแคโรไลน (Carolina) โดยลูกน้องคนสนิท ชื่ออิสราเอล แฮนส์ หักหลังคุณเคราดำ โดยไปบอกข้าหลวงอังกฤษที่ Virginia รู้ จากนั้นเรือนาวิกโยธินอังกฤษที่นำโดย Robert Maynard ก็ต้อนเรือของคุณเคราดำจนมุม และเปิดศึกทั้งสองฝ่ายลูกเรือทั้งเจ้าเคราดำยังยืนยัดสู้ท่ามกลางทหารฝ่ายศัตรูที่ล้อมหน้าล้อมหลังเขาไว้ ครั้งแรกเขาถูกยิงลูกระเบิดยิงบนดาดฟ้าเรือ จนบาดเจ็บสาหัส แต่เขาก็ยังดวลดาบกับทหารและ Maynard จนโดนดาบศัตรูฟันทั้งด้านหน้าและหลัง
เมื่อการต่อสู้จบลง คุณเคราดำตาย จากการตรวจสอบพบว่าเขาโดนยิงกว่า 25 นัด และมีบาดแผลที่ถูกดาบฟันกว่า 20 บาดแผล เขาถูกตัดหัวและตรึงไว้หน้าเรือด้วยตะปู ร่างถูกโยนทะเล มีเรื่องเล่ากันว่าร่างไร้หัวของเขายังว่ายวนรอบ ๆ เรือหลายรอบก่อนที่จะจมทะเลในที่สุด ส่วนแฮนด์คนทรยศนะเหรอเขาตายในขณะเป็นขอทานบนถนน แต่ชื่อของเขาก็เป็นตัวละครหนึ่งในนิยายของโรเบิร์ต หลุยส์ สตีเวนสัน ในเรื่องเกาะมหาสมบัติ(Treasure Island) (ส่วนคุณเคราดำนั้นเป็น กัปตันฮุกในเรื่องปีเตอร์แพน)
พาโบล เอสโคบาร์ (1949-1993) เป็นเจ้าพ่อโคเคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโคลัมเบียและของโลก ที่ผูกขาดการซื้อขายโคเคนถึง 80% ในโลก และเขายังมีดีกรีติดอันดับคนที่รวยที่สุดในโลกอันดับ 7 จากนิตยสารฟอร์บส์ ที่มีเงินในกระเป๋าถึง 25 พันล้าน เป็นคนมีชื่อเสียงและมีเอกลักษณ์ในชุดเสื้อคอกลมและแขนสั้น
เอสโคบาร์เป็นทั้งวีรบุรุษและซาตานของชาวโคลัมเบียในเวลาเดียว เขามีส่วนรับผิดชอบการตายของชาวโคลัมเบียกว่า 4,000 คน และตั้งตัวเป็นศัตรูกับสหรัฐ และต่อสู้กับสหรัฐยาวนานหลายปี แต่เขาก็ไม่จนมุมง่ายๆ เพราะเขามี นักการเมือง, ประชาชน และกองทัพของเขาหนุนหลังอยู่
ไม่มีวันดับเจ้าพ่อที่ยิ่งใหญ่และเร้าใจเท่ากับการล่าพาโบล เอาโคบาร์อีกแล้ว เพราะตำรวจระดมทั้งเทคโนโลยีทั้งกำลังหน่วยสวาทจำนวนมากเท่าที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นการเจาะระบบโทรทัศน์นำร่องชั้นสูงตามหาหมายเลขปลายทาง ซึ่งวันนั้น (วันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ.1993) พาโบลกำลังคุยกับครอบครัวพอดี จนตำรวจรู้แหล่งกบดานของเขาในเขตลอส โอลิวอท
ในขณะที่พาโบลกำลังคุยโทรศัพท์กับลูกกับเมียอยู่นั้น หน่วยกล้าตายหลายนายต่างพร้อมหน่วยพลแม่นปืนต่าง ๆ มาสมทบและปิดกั้นทางหนีของพาโบลและสมุน รายล้อมทั่วบริเวณแหล่งกบดาน ๆ และฉากสุดท้ายก็เปิดฉากขึ้น ตำรวจทำการบุกแหล่งกบดานของพาโบลและดวลปืนกับลูกสมุนของเจ้าพ่อ ยิงจนหูตับตับไหม้ ส่วนเจ้าพ่อถูกกดดันที่ตำรวจพังประตูเข้าไปหมายจะจับกุมเขา แต่แล้วพาโบลก็วิ่งตึงตังออกมาจากหน้าต่างชั้นสอง กระโดดลงหลังคา (พาโบลอ้วนก็จริงแต่วิ่งเร็วมาก) ร่างโงนเงนไปมาโดยถือปืนสองมือ ปากก็ด่าตำรวจไปด้วย
ในขณะที่หลบกระสุนของตำรวจระยะหนึ่ง พาโบลตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยววิ่งไปด้านหลังของอาคารแห่งหนึ่งด้วยความหวังว่าจะกระโจมไปทางถนนหลังอาคาร แต่เขาวิ่งไม่พ้น เขาถูกกระสุนยิงตัดเข้าที่ขาอ่อนขวา และกระสุนนัดนั้นก็พุ่งทะลุออกไปใต้ลูกสะบ้าหัวเข่าอย่างรุนแรง ส่วนกระสุนอีกนัดเข้าไปฝังอยู่ในสะบักขวา ทำให้พาโบลล้มคว่ำลงไปสันหลังคาอย่างรุนแรงจนทำให้กระเบื้องหลังคาแตกกระจุยหลายแผ่น และกระสุนที่ทำให้พาโบลตายนั้นคือกระสุนที่พุ่งเข้าทางรูหูขวาทะลวงสมองและทะลุไปหน้าหูซ้าย เป็นอันจบชีวิตที่ทุลักทุเลของเจ้าพ่อโคลัมเบีย
(มีการสันนิษฐานว่า พาโบลอาจไม่ตายทันทีหลังโดนยิงร่วง แต่เขาโดนยิงซ้ำทีหลังต่างหาก)
ขณะที่เขาสละบัลลังก์ในโบสถ์ที่เมืองกิโต้ เขาถูกโจมตีอย่างโหด***มจากผู้ลอบสังหาร ซึ่งใช้มีดขนาดใหญ่เฉือนลำคอของประธานาธิบดี ตัดแขนซ้ายและมือขวาของเขาออกไปด้วย
แต่!!......เขายังไม่ตาย เขาลุกขึ้นยืนด้วยเท้าทั้งสองของเขา ผู้ลอบสังหารจึงยิงเขาเข้าที่หน้าอกไป 6 นัด และฟันที่หน้าอกไป 14 ครั้ง ก่อนที่เขาจะล้มลงสู่พื้นในตอนท้าย แต่แม้กระนั้นเขาก็ยังเหลือลมหายใจพอที่จะเขียนพื้นด้วยเลือดของเขาว่า ?พระเจ้าไม่มีวันตายจาก (God does not die)?
หลังจากที่ผู้ลอบสังหารได้หลบหนีไปแล้ว พระได้นำโมเรโน่เข้าไปในโบสถ์ เขายังมีชีวิตอยู่ในนั้นนานกว่า 15 นาที หลังการชันสูตรพลิกศพ แพทย์พบว่าโมเรโน่มีเหล็กหลอมเป็นทรงกลมอยู่ภายในร่างของเขา!! (มันมีได้ไงวุ้ย)
มาเจลลัน (1480-1521) เป็นนักสำรวจชาวโปรตุเกสผู้เป็นคนแรกที่แล่นเรือไปแล้วรอบโลก และเป็นชาวยุโรปคนแรกที่เดินทางไปถึงเกาะฟิลิปปินส์ และเขายังค้นพบช่องแคบที่เดินทางข้ามมหาสมุทรแอนแลนติกอีกด้วย.. (ภายหลังได้ตั้งชื่อว่า ช่องแคบมาแจลแลน เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา เมื่อมาถึงอีกด้านหนึ่งเขาก็ตั้งชื่อว่า มหาสมุทรแปซิฟิก แปลว่าความสงบ)
มาเจลลันเห็นด้วยที่จะสังหารผู้ชายคนหนึ่งนามว่า ลาปู ลาปู ผู้เป็นข้าศึกศัตรูของสองกษัตริย์แห่งฟิลลิปปินส์ผู้เคยเป็นมิตรกันมาก่อน แผนของเขาเป็นเอกลักษณ์อย่างมากโดยการให้ลาปูเปลี่ยนศาสนามาเป็นคริสเตียน แต่ที่ที่เขาจะดำเนินแผนการเปลี่ยนศาสนานั้น ช่างเป็นดินแดนที่โอบล้อมด้วยความหอมหวานของความตายที่พึงจะกระทำเสียนี่กระไร
มาเจลลันและลูกเรือของเขาเข้าเทียบท่าที่ดินแดนของลาปูลาปูในเกาะมัคตัน อย่างไรก็ตามลาปูได้ทราบแน่ชัดแล้วว่ามาเจลลันและลูกเรือกำลังเดินทางมาเพราะเขามีทหารสังเกตการณ์อยู่
มาเจลลันเกือบถูกฟาดด้วยหอกอาบยาพิษอย่างหวุดหวิด เขาหลบได้ทันท่วงทีแต่ดันเข้าไปอยู่ในฝูงนักรบของฝ่ายเจ้าบ้าน เขาถูกแทงเข้าที่ใบหน้าด้วยหลาวไม้ไผ่ เขาโต้กลับด้วยการฝังหอกลงไปในร่างของผู้โจมตี
มาเจลลันพยายามจะวาดวงกระบี่ของเขาเพื่อต่อสู้ต่อไป แต่อนิจจา แขนขาของเขาถูกฟันขาดออกไปเสียแล้ว... และเขาล้มลงบนพื้นพร้อมแผลฉกรรจ์อีกมากมาย
ฝ่ายเจ้าบ้านเห็นดังนั้นก็รีบกรูเข้ามารุมกระหน่ำฟันแทงมาเจลลันที่นอนแผ่ที่พื้นอย่างไร้ทางสู้ เขามองขึ้นไปข้างบนเพื่อดูว่าลูกเรือของเขากลับถิ่นตนไปได้อย่างปลอดภัย จากนั้นก็จึงตัดสินใจที่จะปล่อยตัวเองให้ตาย แต่ก่อนนั้นเขาได้ใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายคำรามออกมาและเขวี้ยงหอกเข้าไปใส่แก้มของลาปูในท้ายที่สุด (ให้นึกถึงหนังเรื่อง 300)
รัสปูติน (ค.ศ. 1869 - 1916) เป็นนักบวช ผู้ที่มีพลังจิตพิเศษที่มีบทบาทในยุคปลายราชวงศ์โรมานอฟของประเทศรัสเซีย แต่การมีบทบาทและอิทธิพลของเขานั้น เป็นสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่การล่มสลายของราชวงศ์โรมานอฟ
ค.ศ. 1916 เจ้าชายเฟลิกซ์ ยูสชูปอฟ (Felix Yussupov) เห็นว่าเก็บรัสปูตินไว้จะเป็นภัยต่อชาติ จึงร่วมมือกับแกรด์ดยุคดมิทรี พัฟโลวิช (Grand Duke Dmitri Pavlovich) ลวงสังหารรัสปูติน โดยจะเชิญรัสปูตินไป โดยอ้างว่าเป็นงานเลี้ยงเล็กๆ ในห้องใต้ดิน ณ วังมอยก้าของเจ้าชาย
แผนการฆ่ารัสปูตินก็เริ่มขึ้น โดยการวางยาพิษไซยาไนด์ในเครื่องดื่มและเค้กของรัสปูติน โดย ดร. จาโซแวร์ต แพทย์ทหารเป็นผู้จัดหายา (ไซยาไนด์) สอดไส้ขนมเค้กและผสมเหล้ามาเดียราเตรียมไว้ โดยมีซูโคติน นายทหารอีกคนเป็นผู้ช่วย เจ้าชายยุสซูปอฟจะเป็นคนเชิญให้รัสปูตินกินขนมและดื่มสุราผสมยาพิษ โดยมีปูริชเกวิชและแกรนด์ดยุคดิมิตรีสหายสนิทของเจ้าชายคอยสังเกตการณ์อยู่ชั้นบน
และแล้ววันลอบสังหารก็มาถึง เจ้าชายเชิญรัสปูตินมาดื่มน้ำชาที่บ้าน ขณะเดียวกันรัสปูตินก็อยากจะเห็นเจ้าหญิงอิรีนาที่คนอื่นว่าสวยนัก เมื่อรัสปูตินมาถึง เจ้าชายก็อ้างว่าเจ้าหญิงกำลังรับแขกคนอื่นอยู่ (ความจริงก็คือ เจ้าหญิงทรงพักตากอากาศอยู่ริมทะเลดำ ไกลจากวังเป็นร้อยๆ ไมล์) จึงขอให้รัสปูตินรอที่ห้องใต้ดินก่อน ขณะเดียวกันเจ้าชายทรงให้เปิดเสียงเพลงจากหีบเสียงเบาๆ ประหนึ่งว่าเจ้าหญิงทรงกำลังมีแขกมาพบจริงๆ
ขณะรอ รัสปูตินหงุดหงิดพอควร เจ้าชายจึงทรงเชิญกินขนมเค้กและดื่มเหล้ามาเดียรา ตอนแรกรัสปูตินปฏิเสธ แต่ก็เปลี่ยนใจหยิบขนมเค้กไปกิน 2 ก้อน ตามด้วยเหล้ามาเดียรา 2 แก้ว เจ้าชายทรงยิ้มอยู่ในใจ แต่ตะลึงเมื่อรัสปูตินไม่เป็นอะไรเลย ซ้ำยังขอให้เจ้าชายทรงดีดกีตาร์และร้องเพลงคลอ รัสปูตินนั่งฟังและยิ้มอย่างมีความสุข แม้เพลงจะจบไปหลายเพลงแล้วก็ตาม
เวลาล่วงไป 2 ชั่วโมง เจ้าชายจึงทรงวิ่งขึ้นบันไดมาต่อว่า ดร. ลาโซแวร์ต (แอบซุ่มดูอยู่) ว่ายาพิษหมดอายุ แต่ ดร. ลาโซแวร์ตยืนยันว่ายาดี ส่วนดยุคดิมิตรีนั้นถอดใจ บอกว่าแผนล้มเหลวควรเลิก แต่เจ้าชายทรงยืนยันจะสังหารเอง ดยุคดิมิตรีจึงส่งปืนพกให้
เจ้าชายทรงถือปืนแอบหลังลงมา รัสปูตินกลับขอมาเดียราดื่มอีก ดื่มแล้วก็มีท่าทางคึกคักชวนไปเที่ยวบาร์ยิปซี จากนั้นเจ้าชายทรงชี้ให้รัสปูตินดูไม้กางเขนบนหลังตู้และให้สวดมนต์ พอเหยื่อหันไปเจ้าชายก็ทรงลั่นกระสุนตรงกลางหลังพอดี รัสปูตินร้องเสียงแหลมและล้มลงหงายกับพื้น พอสิ้นเสียงปืนพรรคพวกทั้งสี่ก็ลงมา ดร. ลาโซแวร์ตคลำชีพจรก็บอกว่าตายแล้ว แล้วทั้งสี่ก็สาละวนเตรียมขนศพ ปล่อยเจ้าชายทรงอยู่ตามลำพัง แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น รัสปูตินบิดตัว ใบหน้ากระตุก ลืมตาซ้ายแล้วตาขวา ตาสีเขียวขุ่นกลอกไปมาและโกรธจัด น้ำลายฟูมปาก ผุดลุกขึ้นยืน พร้อมกับกระชากอินทรธนูเครื่องแบบทหารของเจ้าชายขาดไปข้างหนึ่ง เจ้าชายทรงตกพระทัยสุดขีดกระโดดหนีวิ่งขึ้นบันไดไปชั้นบน รัสปูตินคลานตามขึ้นไปพร้อมด่าไปมา
ปูริชเกวิชได้ยินเสียงเจ้าชายและวิ่งตามรัสปูตินออกไปที่สนามวัง ซึ่งหิมะกำลังตกหนัก รัสปูตินตะโกนลั่น "คุณเฟลิกซ์ คุณเฟลิกซ์ ข้าจะฟ้องราชินี" ปูริชเกวิชแทบไม่เชื่อสายตาว่านั่นคือรัสปูตินที่เมื่อครู่นี้นอนตายสนิท กระนั้นก็ตามได้ลั่นกระสุนทันที2นัดแรกผิด นัดที่ 3 ถูกไหล่ และนัดที่ 4 ถูกศีรษะ รัสปูตินผงะหงายหลังลงมาจากประตูเหล็ก พยายามจะลุกขึ้น แต่ลุกไม่ไหว นอนกัดฟันด้วยความแค้น ปูริชเกวิชถลันเข้าเตะเต็มแรงเข้าด้านขมับ พอดีเจ้าชายยุสซูปอฟทรงหายตกพระทัย ทรงถือไม้พลองมาด้วยอันหนึ่ง พลันกระหน่ำตีด้วยอารมณ์แค้นเคืองจนเลือดแดงท่วมหิมะ
ร่างรัสปูตินถูกห่อด้วยพรม ทิ้งลงในปล่องน้ำแข็งในแม่น้ำเนวา 3 วันต่อมามีผู้พบศพ จากการตรวจศพพบว่ารัสปูตินไม่ได้ตายเพราะยาพิษหรือฤทธิ์กระสุนปืน แต่ตายเพราะสำลักน้ำ!
รัสปูตินเสียชีวิตในวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1916 รวมอายุ 47 ปี
(สำหรับอวัยวะเพศของรัสปูตินมีเรื่องเล่ากันว่ามีคนรับใช้ผู้ชายได้เก็บไปให้สาวใช้คนหนึ่งและปรากฏว่าได้พบสาวใช้ผู้นั้นอีกที่ปารีส ซึ่งยังเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ไว้ในหีบไม้ขัดมัน....)
ที่มา : http://fwmail.sodazaa.com/10107.html