สุดยอดการสังหารคนดัง (ที่ตายเวอร์) ที่สุดในประวัติศาสตร์

ความตายเป็นสิ่งที่เกิดได้กับทุกคน แต่สำหรับวายร้ายหรือคนดังแล้วการที่จะตายนี้มันไม่ง่ายเลย เพราะกว่าจะตายพวกเขาต้องดิ้นรน ต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด (แม้สุดท้ายจะตายก็เถอะ)

 

เอ็ดเวิร์ด ทีช a.k.a.คุณเคราดำ (Edward Teach a.k.a. Blackbeard)

 


เอ็ดเวิร์ด ทีช หรือทาช หรือคุณเคราดำ (1680-1718) เป็นโจรสลัดที่มีชื่อเสีย (ง) และโหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ในช่วงปี 1702-1713 (สมัยศตวรรษที่ 18) ในสงครามระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศสและสเปน เขามีรูปลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครเพราะเขาถักหนวดจนเหมือนงูเลื้อยอยู่บนหน้า, สับคนขาด 2 ท่อนด้วยดาบเดียว, พกปืน 6 กระบอกข้างลำตัวแต่ละข้างตลอดเวลา, มีภรรยา 14 คน (อันนี้น่าอิจฉา) เขามีประวัติการปล้นสะดมและฆาตกรรมหลายคดีจนเป็นที่หมายหัวจากสามประเทศ 
 


คุณเคราดำพบจุดจบของเขาที่ทิศเหนือ ชายฝั่งรัฐนอร์ทแคโรไลน (Carolina) โดยลูกน้องคนสนิท ชื่ออิสราเอล แฮนส์ หักหลังคุณเคราดำ โดยไปบอกข้าหลวงอังกฤษที่ Virginia รู้ จากนั้นเรือนาวิกโยธินอังกฤษที่นำโดย Robert Maynard ก็ต้อนเรือของคุณเคราดำจนมุม และเปิดศึกทั้งสองฝ่ายลูกเรือทั้งเจ้าเคราดำยังยืนยัดสู้ท่ามกลางทหารฝ่ายศัตรูที่ล้อมหน้าล้อมหลังเขาไว้ ครั้งแรกเขาถูกยิงลูกระเบิดยิงบนดาดฟ้าเรือ จนบาดเจ็บสาหัส แต่เขาก็ยังดวลดาบกับทหารและ Maynard จนโดนดาบศัตรูฟันทั้งด้านหน้าและหลัง

เมื่อการต่อสู้จบลง คุณเคราดำตาย จากการตรวจสอบพบว่าเขาโดนยิงกว่า 25 นัด และมีบาดแผลที่ถูกดาบฟันกว่า 20 บาดแผล เขาถูกตัดหัวและตรึงไว้หน้าเรือด้วยตะปู ร่างถูกโยนทะเล มีเรื่องเล่ากันว่าร่างไร้หัวของเขายังว่ายวนรอบ ๆ เรือหลายรอบก่อนที่จะจมทะเลในที่สุด ส่วนแฮนด์คนทรยศนะเหรอเขาตายในขณะเป็นขอทานบนถนน แต่ชื่อของเขาก็เป็นตัวละครหนึ่งในนิยายของโรเบิร์ต หลุยส์ สตีเวนสัน ในเรื่องเกาะมหาสมบัติ(Treasure Island) (ส่วนคุณเคราดำนั้นเป็น กัปตันฮุกในเรื่องปีเตอร์แพน)



 

พาโบล เอสโคบาร์ (Pablo Escobar)

 


พาโบล เอสโคบาร์ (1949-1993) เป็นเจ้าพ่อโคเคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโคลัมเบียและของโลก ที่ผูกขาดการซื้อขายโคเคนถึง 80% ในโลก และเขายังมีดีกรีติดอันดับคนที่รวยที่สุดในโลกอันดับ 7 จากนิตยสารฟอร์บส์ ที่มีเงินในกระเป๋าถึง 25 พันล้าน เป็นคนมีชื่อเสียงและมีเอกลักษณ์ในชุดเสื้อคอกลมและแขนสั้น

เอสโคบาร์เป็นทั้งวีรบุรุษและซาตานของชาวโคลัมเบียในเวลาเดียว เขามีส่วนรับผิดชอบการตายของชาวโคลัมเบียกว่า 4,000 คน และตั้งตัวเป็นศัตรูกับสหรัฐ และต่อสู้กับสหรัฐยาวนานหลายปี แต่เขาก็ไม่จนมุมง่ายๆ เพราะเขามี นักการเมือง, ประชาชน และกองทัพของเขาหนุนหลังอยู่ 
 


ไม่มีวันดับเจ้าพ่อที่ยิ่งใหญ่และเร้าใจเท่ากับการล่าพาโบล เอาโคบาร์อีกแล้ว เพราะตำรวจระดมทั้งเทคโนโลยีทั้งกำลังหน่วยสวาทจำนวนมากเท่าที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นการเจาะระบบโทรทัศน์นำร่องชั้นสูงตามหาหมายเลขปลายทาง ซึ่งวันนั้น (วันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ.1993) พาโบลกำลังคุยกับครอบครัวพอดี จนตำรวจรู้แหล่งกบดานของเขาในเขตลอส โอลิวอท

ในขณะที่พาโบลกำลังคุยโทรศัพท์กับลูกกับเมียอยู่นั้น หน่วยกล้าตายหลายนายต่างพร้อมหน่วยพลแม่นปืนต่าง ๆ มาสมทบและปิดกั้นทางหนีของพาโบลและสมุน รายล้อมทั่วบริเวณแหล่งกบดาน ๆ และฉากสุดท้ายก็เปิดฉากขึ้น ตำรวจทำการบุกแหล่งกบดานของพาโบลและดวลปืนกับลูกสมุนของเจ้าพ่อ ยิงจนหูตับตับไหม้ ส่วนเจ้าพ่อถูกกดดันที่ตำรวจพังประตูเข้าไปหมายจะจับกุมเขา แต่แล้วพาโบลก็วิ่งตึงตังออกมาจากหน้าต่างชั้นสอง กระโดดลงหลังคา (พาโบลอ้วนก็จริงแต่วิ่งเร็วมาก) ร่างโงนเงนไปมาโดยถือปืนสองมือ ปากก็ด่าตำรวจไปด้วย

ในขณะที่หลบกระสุนของตำรวจระยะหนึ่ง พาโบลตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยววิ่งไปด้านหลังของอาคารแห่งหนึ่งด้วยความหวังว่าจะกระโจมไปทางถนนหลังอาคาร แต่เขาวิ่งไม่พ้น เขาถูกกระสุนยิงตัดเข้าที่ขาอ่อนขวา และกระสุนนัดนั้นก็พุ่งทะลุออกไปใต้ลูกสะบ้าหัวเข่าอย่างรุนแรง ส่วนกระสุนอีกนัดเข้าไปฝังอยู่ในสะบักขวา ทำให้พาโบลล้มคว่ำลงไปสันหลังคาอย่างรุนแรงจนทำให้กระเบื้องหลังคาแตกกระจุยหลายแผ่น และกระสุนที่ทำให้พาโบลตายนั้นคือกระสุนที่พุ่งเข้าทางรูหูขวาทะลวงสมองและทะลุไปหน้าหูซ้าย เป็นอันจบชีวิตที่ทุลักทุเลของเจ้าพ่อโคลัมเบีย

(มีการสันนิษฐานว่า พาโบลอาจไม่ตายทันทีหลังโดนยิงร่วง แต่เขาโดนยิงซ้ำทีหลังต่างหาก)

 

 

เน็ด เคลลี่ (Ned Kelly)


เน็ด เคลลี่ (1854-1880) ชาวไอริชที่อาศัยในออสเตรเลียในศตวรรษที่ 19 ถูกบีบบังคับให้เป็นโจรโดยตำรวจชั่วทำให้เขากลายเป็นคนนอกกฎหมาย (ประมาณเสือใบ) เขามีส่วนรับผิดชอบปล้นธนาคาร robberies และฆ่าตำรวจสามนาย และถูกหมายจับทั่วออสเตรเลีย 


ค.ศ.1880 เน็ด เคลลี่ และแก๊งของเขา จับตัวประกันกว่า 70 ชีวิต ไว้ที่โรงแรมเล็กๆ ในเมืองเกลนโรแวน (Glenrowan) ซึ่งภายนอกโรงแรมเต็มไปด้วยตำรวจหลายสิบนายที่แห่มาจับกุม ตำรวจทำการระดมกระสุนปืนหลายนัดยิงเข้าไปในโรงแรมในความมืดจนถึงเช้า เน็ด เคลลี่ และแก๊งเขาจนมุม จากนั้นเหล่าตำรวจก็หวังว่าเขาและพวกจะยอมมอบตัว

แต่แล้วเน็ด เคลลี่ก็ทำให้ตำรวจแปลกใจ และตะลึงสิ่งที่เห็นเน็ด เคลลี่ออกจากประตูโรงแรมคนเดียวในรูปลักษณ์ที่แสนแปลกตา เขาสวมชุดเกราะประดิษฐ์คลุมตั้งแต่หัวจรดต้นขา ซึ่งประกอบกันเข้าแบบหยาบๆ แต่มันก็กันกระสุนได้ดีพอสมควร (ใครวาดภาพไม่ออกขอให้นึกถึงชุดเกราะไอออนแมนเวอรชั่นออฟกัน)

เน็ด เคลลี่คนเดียวในชุดเกราะเปิดศึกกับตำรวจนับร้อยด้วยปืนสั้นกระบอกเดียว (อย่างที่เห็นในภาพ) แม้ชุดเกราะมันจะกันกระสุนแต่มันก็ทำให้เขางุ่มง่ามทำให้เขาโดนกระสุนหลายนัดที่ระดมเข้าไปในชุดเกราะของเขาเต็มๆ หลายนัดจนเซไปข้างหน้า ท่ามกลางห่ากระสุนหลายฝ่ายคิดว่าเคลลี่ตายโหงไปแล้ว แต่เหลือเชื่อหลังสิ้นสุดกระสุนปืน (เคลซี่โดนตำรวจยิงที่ขาจนล้ม) ตำรวจทำการตรวจสอบพบว่าเขายังมีลมหายใจอยู่...............(สงสัยห้อยพระดี) เน็ด เคลลี่ถูกตำรวจจับกุม ส่วนลูกน้องถูกตำรวจจับได้บางส่วน ในขณะที่อีกจำนวนหนึ่งโดนตำรวจฆ่าจากการหลบหนี

อย่างไรก็ตามต่อมา เน็ด เคลลี่ ถูกแขวนคอข้อหาฆ่าตำรวจตาย คำพูดสุดท้ายของเขาคือ ?นี่แหละชีวิต ?ส่วนตำรวจที่รังแกครอบครัวเคลลี่ในตอนแรกโดนไล่ออกในเวลาต่อมา จากนั้นเคลลี่ก็กลายเป็นตำนานเสือใบต้นแบบที่ทุกคนมองว่าเขาเป็นวีรบุรุษประจำชาติมากกว่าวายร้ายของประเทศออสเตรเลีย 




ลีออน ทรอตสกี้ (Leon Trotsky)


ลีออน ทรอตสกี้ (1879 - 1940) เป็นสมาชิกคนสำคัญการยึดอำนาจของพรรคบอลเชวิคในช่วงเริ่มต้นของการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียต อย่างไรก็ตาม เขาก็พ่ายแพ้ให้กับสตาลินในการแย่งอำนาจกันภายหลังจากการถึงแก่อสัญกรรมของเลนิน จนต้องหลบหนีออกนอกประเทศ 


ทรอตสกี้ถูกลอบสังหารขณะลี้ภัยอยู่ที่ในเม็กซิโก ในวันที่ 20 สิงหาคม 1940 โดยผู้ลอบสังหารที่ชื่อ รามอน แม็คาดาร์ ซึ่งได้รับคำสั่งจากสตาลินให้มากำจัดเขา

ในวันเกิดเหตุ ตอนนั้นทรอตสกี้กำลังนั่งอ่านหนังสือที่ห้องรามอน แม็คาดาร์ ใช้ที่สับน้ำแข็งแทงทรอตสกี้จามไปที่กะโหลกศีรษะด้านหลังของเขา

แต่แล้ว......เหลือเชื่อ ทรอตสกี้ตายยากกว่าที่คาด เขายืนขึ้นออกจากโต๊ะทำงานทั้งๆ ที่ขวานยังปักคาหัวเขา เขาด่า และถมน้ำลายใส่รามอน จากนั้นก็เล่นมวยปล้ำ(สู้กันแหละ) จนบอดีการ์ดของทรอตสกี้ได้ยินเสียงจึงวิ่งเข้าไป และพาทรอตสกี้ส่งโรงพยาบาล ก่อนที่จะตายในวันต่อมา 


กาเบรียล การ์เซีย โมเรโน่ (Gabriel Garcia Moreno)


โมเรโน่ (1821-1875) ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีของเอกวาดอร์เมื่อกลางปีคริสตศักราช 1900 เขาเป็นชาวคริสต์นิกายคาธอลิคที่น่ายกย่องนับถือ เขาก่อตั้งพรรคจารีตแบบแผนของประเทศ อีกทั้งยังหน้าตาคล้ายกับ F. Merray Abraham อีกด้วย

โมเรโน่ได้บัญญัติกฎหมายหนึ่งขึ้นมาเพื่อก่อตั้งหน่วยงานของนิกายคาธอลิคแห่งเอกวาดอร์ เพื่อที่ใครก็ตามที่เข้ามาสมัครและลงคะแนนเสียงให้พรรคนี้แล้ว จะต้องแปรสภาพศาสนามาเป็นคริสต์นิกายคาธอลิค ในขณะที่สิ่งนี้เป็นประโยชน์ต่อต่อชาวคาธอลิค แต่มันก็ดึงผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องให้มาเดือดร้อนด้วย และผู้เกี่ยวข้องนี้ที่ผู้สมัครหาเสียงของพรรคอื่น ได้ร่วมพ้องเห็นต้องกันว่ามันเป็นเวลาอันสมควรที่จะกำจัดอับราฮัมไปให้พ้นทาง 


ขณะที่เขาสละบัลลังก์ในโบสถ์ที่เมืองกิโต้ เขาถูกโจมตีอย่างโหด***มจากผู้ลอบสังหาร ซึ่งใช้มีดขนาดใหญ่เฉือนลำคอของประธานาธิบดี ตัดแขนซ้ายและมือขวาของเขาออกไปด้วย

แต่!!......เขายังไม่ตาย เขาลุกขึ้นยืนด้วยเท้าทั้งสองของเขา ผู้ลอบสังหารจึงยิงเขาเข้าที่หน้าอกไป 6 นัด และฟันที่หน้าอกไป 14 ครั้ง ก่อนที่เขาจะล้มลงสู่พื้นในตอนท้าย แต่แม้กระนั้นเขาก็ยังเหลือลมหายใจพอที่จะเขียนพื้นด้วยเลือดของเขาว่า ?พระเจ้าไม่มีวันตายจาก (God does not die)?

หลังจากที่ผู้ลอบสังหารได้หลบหนีไปแล้ว พระได้นำโมเรโน่เข้าไปในโบสถ์ เขายังมีชีวิตอยู่ในนั้นนานกว่า 15 นาที หลังการชันสูตรพลิกศพ แพทย์พบว่าโมเรโน่มีเหล็กหลอมเป็นทรงกลมอยู่ภายในร่างของเขา!! (มันมีได้ไงวุ้ย)

เฟอร์ดินานด์ มาเจลลัน (Ferdinand Magellan)

 


มาเจลลัน (1480-1521) เป็นนักสำรวจชาวโปรตุเกสผู้เป็นคนแรกที่แล่นเรือไปแล้วรอบโลก และเป็นชาวยุโรปคนแรกที่เดินทางไปถึงเกาะฟิลิปปินส์ และเขายังค้นพบช่องแคบที่เดินทางข้ามมหาสมุทรแอนแลนติกอีกด้วย.. (ภายหลังได้ตั้งชื่อว่า ช่องแคบมาแจลแลน เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา เมื่อมาถึงอีกด้านหนึ่งเขาก็ตั้งชื่อว่า มหาสมุทรแปซิฟิก แปลว่าความสงบ)
 


มาเจลลันเห็นด้วยที่จะสังหารผู้ชายคนหนึ่งนามว่า ลาปู ลาปู ผู้เป็นข้าศึกศัตรูของสองกษัตริย์แห่งฟิลลิปปินส์ผู้เคยเป็นมิตรกันมาก่อน แผนของเขาเป็นเอกลักษณ์อย่างมากโดยการให้ลาปูเปลี่ยนศาสนามาเป็นคริสเตียน แต่ที่ที่เขาจะดำเนินแผนการเปลี่ยนศาสนานั้น ช่างเป็นดินแดนที่โอบล้อมด้วยความหอมหวานของความตายที่พึงจะกระทำเสียนี่กระไร

มาเจลลันและลูกเรือของเขาเข้าเทียบท่าที่ดินแดนของลาปูลาปูในเกาะมัคตัน อย่างไรก็ตามลาปูได้ทราบแน่ชัดแล้วว่ามาเจลลันและลูกเรือกำลังเดินทางมาเพราะเขามีทหารสังเกตการณ์อยู่

มาเจลลันเกือบถูกฟาดด้วยหอกอาบยาพิษอย่างหวุดหวิด เขาหลบได้ทันท่วงทีแต่ดันเข้าไปอยู่ในฝูงนักรบของฝ่ายเจ้าบ้าน เขาถูกแทงเข้าที่ใบหน้าด้วยหลาวไม้ไผ่ เขาโต้กลับด้วยการฝังหอกลงไปในร่างของผู้โจมตี

มาเจลลันพยายามจะวาดวงกระบี่ของเขาเพื่อต่อสู้ต่อไป แต่อนิจจา แขนขาของเขาถูกฟันขาดออกไปเสียแล้ว... และเขาล้มลงบนพื้นพร้อมแผลฉกรรจ์อีกมากมาย

ฝ่ายเจ้าบ้านเห็นดังนั้นก็รีบกรูเข้ามารุมกระหน่ำฟันแทงมาเจลลันที่นอนแผ่ที่พื้นอย่างไร้ทางสู้ เขามองขึ้นไปข้างบนเพื่อดูว่าลูกเรือของเขากลับถิ่นตนไปได้อย่างปลอดภัย จากนั้นก็จึงตัดสินใจที่จะปล่อยตัวเองให้ตาย แต่ก่อนนั้นเขาได้ใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายคำรามออกมาและเขวี้ยงหอกเข้าไปใส่แก้มของลาปูในท้ายที่สุด (ให้นึกถึงหนังเรื่อง 300)

 

กริกอรี เยฟิโมวิช รัสปูติน (Grigori Yefimovich Rasputin)

 


รัสปูติน (ค.ศ. 1869 - 1916) เป็นนักบวช ผู้ที่มีพลังจิตพิเศษที่มีบทบาทในยุคปลายราชวงศ์โรมานอฟของประเทศรัสเซีย แต่การมีบทบาทและอิทธิพลของเขานั้น เป็นสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่การล่มสลายของราชวงศ์โรมานอฟ

ค.ศ. 1916 เจ้าชายเฟลิกซ์ ยูสชูปอฟ (Felix Yussupov) เห็นว่าเก็บรัสปูตินไว้จะเป็นภัยต่อชาติ จึงร่วมมือกับแกรด์ดยุคดมิทรี พัฟโลวิช (Grand Duke Dmitri Pavlovich) ลวงสังหารรัสปูติน โดยจะเชิญรัสปูตินไป โดยอ้างว่าเป็นงานเลี้ยงเล็กๆ ในห้องใต้ดิน ณ วังมอยก้าของเจ้าชาย

แผนการฆ่ารัสปูตินก็เริ่มขึ้น โดยการวางยาพิษไซยาไนด์ในเครื่องดื่มและเค้กของรัสปูติน โดย ดร. จาโซแวร์ต แพทย์ทหารเป็นผู้จัดหายา (ไซยาไนด์) สอดไส้ขนมเค้กและผสมเหล้ามาเดียราเตรียมไว้ โดยมีซูโคติน นายทหารอีกคนเป็นผู้ช่วย เจ้าชายยุสซูปอฟจะเป็นคนเชิญให้รัสปูตินกินขนมและดื่มสุราผสมยาพิษ โดยมีปูริชเกวิชและแกรนด์ดยุคดิมิตรีสหายสนิทของเจ้าชายคอยสังเกตการณ์อยู่ชั้นบน

และแล้ววันลอบสังหารก็มาถึง เจ้าชายเชิญรัสปูตินมาดื่มน้ำชาที่บ้าน ขณะเดียวกันรัสปูตินก็อยากจะเห็นเจ้าหญิงอิรีนาที่คนอื่นว่าสวยนัก เมื่อรัสปูตินมาถึง เจ้าชายก็อ้างว่าเจ้าหญิงกำลังรับแขกคนอื่นอยู่ (ความจริงก็คือ เจ้าหญิงทรงพักตากอากาศอยู่ริมทะเลดำ ไกลจากวังเป็นร้อยๆ ไมล์) จึงขอให้รัสปูตินรอที่ห้องใต้ดินก่อน ขณะเดียวกันเจ้าชายทรงให้เปิดเสียงเพลงจากหีบเสียงเบาๆ ประหนึ่งว่าเจ้าหญิงทรงกำลังมีแขกมาพบจริงๆ

ขณะรอ รัสปูตินหงุดหงิดพอควร เจ้าชายจึงทรงเชิญกินขนมเค้กและดื่มเหล้ามาเดียรา ตอนแรกรัสปูตินปฏิเสธ แต่ก็เปลี่ยนใจหยิบขนมเค้กไปกิน 2 ก้อน ตามด้วยเหล้ามาเดียรา 2 แก้ว เจ้าชายทรงยิ้มอยู่ในใจ แต่ตะลึงเมื่อรัสปูตินไม่เป็นอะไรเลย ซ้ำยังขอให้เจ้าชายทรงดีดกีตาร์และร้องเพลงคลอ รัสปูตินนั่งฟังและยิ้มอย่างมีความสุข แม้เพลงจะจบไปหลายเพลงแล้วก็ตาม

เวลาล่วงไป 2 ชั่วโมง เจ้าชายจึงทรงวิ่งขึ้นบันไดมาต่อว่า ดร. ลาโซแวร์ต (แอบซุ่มดูอยู่) ว่ายาพิษหมดอายุ แต่ ดร. ลาโซแวร์ตยืนยันว่ายาดี ส่วนดยุคดิมิตรีนั้นถอดใจ บอกว่าแผนล้มเหลวควรเลิก แต่เจ้าชายทรงยืนยันจะสังหารเอง ดยุคดิมิตรีจึงส่งปืนพกให้

เจ้าชายทรงถือปืนแอบหลังลงมา รัสปูตินกลับขอมาเดียราดื่มอีก ดื่มแล้วก็มีท่าทางคึกคักชวนไปเที่ยวบาร์ยิปซี จากนั้นเจ้าชายทรงชี้ให้รัสปูตินดูไม้กางเขนบนหลังตู้และให้สวดมนต์ พอเหยื่อหันไปเจ้าชายก็ทรงลั่นกระสุนตรงกลางหลังพอดี รัสปูตินร้องเสียงแหลมและล้มลงหงายกับพื้น พอสิ้นเสียงปืนพรรคพวกทั้งสี่ก็ลงมา ดร. ลาโซแวร์ตคลำชีพจรก็บอกว่าตายแล้ว แล้วทั้งสี่ก็สาละวนเตรียมขนศพ ปล่อยเจ้าชายทรงอยู่ตามลำพัง แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น รัสปูตินบิดตัว ใบหน้ากระตุก ลืมตาซ้ายแล้วตาขวา ตาสีเขียวขุ่นกลอกไปมาและโกรธจัด น้ำลายฟูมปาก ผุดลุกขึ้นยืน พร้อมกับกระชากอินทรธนูเครื่องแบบทหารของเจ้าชายขาดไปข้างหนึ่ง เจ้าชายทรงตกพระทัยสุดขีดกระโดดหนีวิ่งขึ้นบันไดไปชั้นบน รัสปูตินคลานตามขึ้นไปพร้อมด่าไปมา

ปูริชเกวิชได้ยินเสียงเจ้าชายและวิ่งตามรัสปูตินออกไปที่สนามวัง ซึ่งหิมะกำลังตกหนัก รัสปูตินตะโกนลั่น "คุณเฟลิกซ์ คุณเฟลิกซ์ ข้าจะฟ้องราชินี" ปูริชเกวิชแทบไม่เชื่อสายตาว่านั่นคือรัสปูตินที่เมื่อครู่นี้นอนตายสนิท กระนั้นก็ตามได้ลั่นกระสุนทันที2นัดแรกผิด นัดที่ 3 ถูกไหล่ และนัดที่ 4 ถูกศีรษะ รัสปูตินผงะหงายหลังลงมาจากประตูเหล็ก พยายามจะลุกขึ้น แต่ลุกไม่ไหว นอนกัดฟันด้วยความแค้น ปูริชเกวิชถลันเข้าเตะเต็มแรงเข้าด้านขมับ พอดีเจ้าชายยุสซูปอฟทรงหายตกพระทัย ทรงถือไม้พลองมาด้วยอันหนึ่ง พลันกระหน่ำตีด้วยอารมณ์แค้นเคืองจนเลือดแดงท่วมหิมะ

ร่างรัสปูตินถูกห่อด้วยพรม ทิ้งลงในปล่องน้ำแข็งในแม่น้ำเนวา 3 วันต่อมามีผู้พบศพ จากการตรวจศพพบว่ารัสปูตินไม่ได้ตายเพราะยาพิษหรือฤทธิ์กระสุนปืน แต่ตายเพราะสำลักน้ำ!

รัสปูตินเสียชีวิตในวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1916 รวมอายุ 47 ปี

(สำหรับอวัยวะเพศของรัสปูตินมีเรื่องเล่ากันว่ามีคนรับใช้ผู้ชายได้เก็บไปให้สาวใช้คนหนึ่งและปรากฏว่าได้พบสาวใช้ผู้นั้นอีกที่ปารีส ซึ่งยังเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ไว้ในหีบไม้ขัดมัน....)

ที่มา : http://fwmail.sodazaa.com/10107.html

Credit: http://www.unigang.com/Article/15874
30 ก.ย. 56 เวลา 00:38 11,664 1 180
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...