อารยธรรมแรกเริ่มทีเดียวของห้องน้ำน่าจะได้แก่ในเอเชียเรานี่เองครับ คือบริเวณลุ่มน้ำสินธุ (Indus Valley) ซึ่งปัจจุบัน เป็นประเทศปากีสถาน เมื่อ 4,500 กว่าปีมาแล้วบรรพบุรุษของชนเชื้อชาติชมพูทวีปนี้เรียกกันว่า เผ่าฮารัปปัน (Harappan) ชนฮารัปปันเป็นชาติแรกที่รู้จักการวางผังเมืองและมีการจัดการ ระบายของเสีย พวกเขามีห้องน้ำสำหรับการตักอาบชำระกาย แต่ก็ยังขาดระบบท่อส่งน้ำ ต้องไปตักและหิ้วน้ำจากบ่อมาใส่ตุ่มในบ้าน น้ำที่อาบและราดส้วมจะไหลลงท่อระบายแล้วลำเลียงจากบ้านต่างๆไปลงระบบรวมน้ำเสียกลาง จากนั้นก็ปล่อยทิ้งลงแม่น้ำไป
ชาติที่มีอารยธรรมรุ่งเรืองถัดมาได้แก่กรีก พวกเขาริเริ่มระบบ ท่อประปา โดยวางท่อกระเบื้องฝังใต้พื้นดิน รับน้ำมาจากแม่น้ำหรือ น้ำซับ (Spring) บนที่สูง ส่งเข้ามาในเมือง และตั้งจุดน้ำพุตาม ตำแหน่งต่างๆเพื่อให้ประชาชนมาเอาน้ำจืดน ี้ไปใช้ดื่มกินและชำระ ล้าง
โดยเฉพาะติดตั้งในยิมเนเซียมสำหรับการอาบน้ำหลังการออก กำลังกาย สบู่นั้นยังไม่มี จึงใช้เหล็กตะขอแบบ ไม้เกาหลัง ถูขัดขี้ไคล จะขัดเองหรือใช้ทาสก็ตามแต่สะดวก
อารยธรรมโรมันต่อมาได้เพิ่มเติมจากที่กรีกทิ้งไว้ โดยการสร้างระบบลำเลียงน้ำขนาดใหญ่ นำน้ำจากบนเขาที่อาจห่างไกลนับร้อยกิโลเมตรไหลมาสู่เมืองซึ่งตั้งอยู่ระดับต่ำกว่าด้วย แรงดึงดูดของโลก (gravity) ทุกวันนี้ก็ยังเหลือซากของตอม่อและสะพานที่รองรับรางรับน้ำเหล่านี้ ซึ่งรู้จักกันดีในชื่อ เอควีดักท์ (aqueduct) ปริมาณน้ำจากเอควีดักท์มีมากจนโรมันสามารถสร้างโรงอาบน้ำสาธารณะขนาดใหญ่โต
บางแห่งรับคนได้ถึงวันละ 2,500 คน ไปใช้บริการได้ตลอดทั้งวันและที่สำคัญคือมีน้ำอุ่นให้อาบ ด้วย ทั้งนี้ โดยโรมันได้สร้างเตาไว้ด้านล่างของสระอาบน้ำ เชื้อเพลิงก็คือฟืนหรือถ่านหิน ไฟจะเผาหินที่ใช้ปูพื้นสระจน ร้อน คล้ายกับเซาน่าทุกวันนี้ เรียกได้ว่าโรมันได้สร้าง อารยธรรมการอาบน้ำไว้อย่างสูงส่ง หากทว่าเมื่อกรุงโรมล่มสลาย เทคโนโลยีเหล่านี้ ก็พลอยสูญหายไปด้วย เมื่อไม่มีเอควีดักท์ ก็ไม่มีน้ำไหลในเมือง ชาวบ้านต้องกลับไป หาบไปหิ้วน้ำจากบ่อดังเดิม อารยธรรมห้องน้ำขาดหายไป จากประวัติศาสตร์นานกว่าสิบ ศตวรรษ
ช่วงเวลาที่น่ารังเกียจที่สุดคือในยุคกลาง (Middle Age) หรือแม้แต่ถัดมาในยุค ฟื้นฟูศิลปวิทยา (เรอเนซองส์- Renaissance) อันรุ่งเรืองด้วยเหตุว่าประชากร แห่งยุโรปไม่สนใจ การอาบน้ำชำระกาย บางทีอาบแค่ปีละครั้ง! เทคโนโลยีอาบน้ำเริ่มหวนกลับมาอีกครั้งที่ยุโรปราวศตวรรษที่ 18 มีการใช้อ่างอาบน้ำในรูปแบบแฟนซ ีหลายหลาก บางใบเป็นอ่างทองแดงลักษณะคล้ายเกือกบูตขนาดยักษ์ และถึงศตวรรษที่ 20 วิศวกรก็ดีไซน์ระบบน้ำอุ่นโดยต้มน้ำในถังเหล็ก มีการติดตั้งอุปกรณ์ เซฟตี้ เช่น ปลั๊กโลหะที่หลอมละลายและปล่อยน้ำออกมาดับไฟในกรณีที่เกิดการเผาไหม้ร้อนจัด เก่างน้ำวนมาใช้ในห้องน้ำหรูๆ อ่างโลหะแบบเดิมก็เทอะทะหนักไม่เหมาะสม โคห์เลอร์ ไวเครลล์ จึงนำพลาสติกแบบแข็งแรง (heavy duty) มาใช้แทน หล่อออกมา ในรูปแบบใดๆ ที่ต้องการได้ง่ายขึ้น
และทำความสะอาดได้หมดจดอีกต่างหาก คราวนี้หันมาดูทางด้าน โถส้วม กันบ้าง ในสมัยกรีกนั้นนั่งอึกันบนโถหรือ หม้อ จริงๆ คนรวยจะมีห้องอึ อึแล้วก็มีทาสนำเอา โถไปชำระล้าง ทาสที่ทำหน้าที่นี้มีตำแหน่งเฉพาะเรียกว่า ลาซาโนเวอรอส ฟังดูโก้ ไม่หยอกเชียวแหละ มาถึงยุคโรมันก็มีโถอึเช่นกันและพัฒนาขึ้นเป็นโถอึ สาธารณะ โดยมีแท่นหินยาวและเจาะรู้ไว้ เพื่อให้ขับถ่ายลงไป ใต้แท่นจะมีรางน้ำไหลรองรับอยู่ ทันทีที่อึตกลงไป ก็จะถูกน้ำ ชะพาระบายทิ้งไป เช่นกัน พอโรมันล่ม เทคโนส้วมก็ล่มไปด้วย พันปีต่อมาผู้คนยุโรป ก็ยังคงใช้โถสำหรับอึ โดยเฉพาะตอนกลางคืนจะได้ไม่ต้องออกจากบ้าน เก็บเอาไว้จนถึงเช้า ค่อยเอาไปชำระ ผู้คนสมัยนั้นจะพกพาโถติดตัวไปในยามเดินทาง
จึงมีคนหัวใส หากิน กับผู้ที่ไม่อยากพกพา โดยทำกิจการ โถให้เช่า เช่น ในยุคกลาง มีตำนานว่า ตามถนนจะเห็นบุรุษที่เดินเตร่ ในชุดเสื้อคลุมดำใหญ่ยาว มือหนึ่งถือโถอีกมือหนึ่งหิ้วม้านั่ง พอลูกค้าจ่ายเงินหนึ่งเพนนี เขาก็จะตั้งม้านั่งแล้วเอาโถวาง คุณก็นั่งอึหรือฉี่บนโถอย่างสุขารมณ์ อ้อเขาจะใช้เสื้อคลุมตัวโต นั้นโอบล้อมตัวคุณไว้อย่างมิดชิด ไม่เป็นที่ประเจิดประเจ้อแก่ผู้เดินถนนไปมา คุ้มค่ามั้ยล่ะ พระราชวังแวร์ซายลส์ของฝรั่งเศสได้ชื่อว่าสุดแสนอลังการทั้งห้องกระจก หรือช่อไฟ แชนเดอเลียร์ใช้จัดงานเลี้ยงรับรองผู้คนได้ถึงพัน หากทว่าไม่มีห้องส้วม ไม่มีเลยแม้แต่ห้องเดียวทั้งวัง ปวดขึ้นมาจะทำฉันใด ก็ไม่ยากหามุมเหมาะๆใต้บันไดแล้วก็ปลดทุกข์ ทั้งหนักและเบา นี่เป็นสาเหตุของการใช้น้ำหอมปริมาณมากมายในยุคนั้น ก็เพื่อดับกลิ่นคละคลุ้งภายในพระราชวังนั่นเอง
ชาวบ้านฝรั่งเศสยังมีสุขาภิบาลดีกว่าในวังด้วยซ้ำ พวกเขามีหลุมส้วมอยู่ในบ้าน บุหลุม ไว้ด้วยไม้หรือหินหรืออิฐ แล้วเอาม้านั่งคร่อมหลุมไว้ ข้อเสียที่มีนอกจากกลิ่นก็คือ คุณจะ ต้องจ่ายให้คนงานที่จะมาเก็บเอาอึของคุณไปจัดการ ในศตวรรษที่ 18 อเมริกันจึงคิดอ่านไปขุดหลุมส้วมไว้นอกบ้านและทำเพิงไม้มีหลังคา กั้นเสร็จสรรพ ส้วมนอกบ้านจึงเป็นที่นิยมกันต่อมา
ชนบทเมืองไทยปัจจุบันก็ยังมีส้วมลักษณะ นี้อยู่เหมือนกัน ช่วงปี ค.ศ.1775 ระหว่างที่อเมริกาทำสงครามปฏิวัติจากการปกครองของอังกฤษ ในอังกฤษเองก็เกิดการปฏิวัติบูรณาการขึ้นใหม่เอี่ยมอ่องที่โลกต้องจารึกเอาไว้ นั่นคือ ช่างทำนาฬิกาชื่ออเล็กซานเดอร์ คัมมิงส์ ได้ประดิษฐ์ท่อโค้งขึ้น แล้วเอาไปติดตั้งไว้ใต้โถส้วม อา...ไทยเราเรียกว่า คอห่าน นั่นเอง เจ้าสิ่งนี้จะขังน้ำไว้ทำให้กลิ่นจากบ่อเกรอะไม่ลอยขึ้น มารบกวน ง่ายแค่นกว่าจะคิดได้ก็นานนับพันปี ช่างอัจฉริยะ เหลือเกิน และแม้จะล่วง มาอีกหลายร้อยปี
โถส้วมทุกอันก็ยังต้องใช้หลักการคอห่านของคัมมิงส์ นอกจากนี้ก็ควรยกเครดิตให้อีกคนหนึ่ง คือ โธมัส แครปเปอร์ เขาเป็นผู้คิด ระบบชักโครก (flushing) ที่ใช้น้ำปริมาณมากพอเพียงปล่อยลงไปจนเกิดการดึงดูดหรือกาลักน้ำ (siphon) พาเอาสิ่งสกปรกทั้งมวลหายวับลงท่อไปในพริบตา โถส้วมกับอุปกรณ์ในทุกวันนี้ก้าวหน้าไปอย่างที่บางคนไม่ทันรู้ตัวรับมือ เช่น บริษัทโทโดะ ของญี่ปุ่น ได้ออกแบบที่นั่ง โถฉี่ของสุภาพสตรีที่เรียกว่า บิเดท์ (Bidet)
ซึ่งพอคุณปลดปล่อยทุกข์เบาเรียบร้อยแล้วก็กดปุ่มหนึ่งพลันจะมีก้านหมุนเข้ามา แล้วฉีดน้ำพ่นที่ก้นคุณ จากนั้นคุณก็กดอีกปุ่มหนึ่ง และก็จะมีลมอุ่นๆเป่าให้แห้งอีกต่อหนึ่ง เรียกว่าคุณแทบไม่ต้องใช้มือสัมผัสกับสิ่งสกปรกอะไรเลย อ้อ ถ้าหากฝารองนั่งเย็นเชี้ยบเกินไปจนนั่งแล้วสั่นสะท้าน ไปทั้งก้น เค้าก็มีระบบทำความอุ่นวอร์มอัพโถให้เพียบ พร้อมไปหมด
สำหรับเมืองไทยเราก็มีบริษัทผลิตสุขภัณฑ์ที่ไม่น้อยหน้าต่างประเทศ เช่น บ.บาธรูม ดีไซน์ (Bathroom Design) ที่ออกแบบอ่างน้ำวน Together ชนะการประกวดระดับโลกมาแล้วในปี 2007 (IF Product Design Award 2007) เรื่องราวเกี่ยวกับห้องน้ำและสุขภัณฑ์ยังมีที่น่ารู้อีกแยะ เช่นว่า -ประวัติการใช้กระดาษทิชชู (ก่อนหน้านี้มีทั้งใช้ซังข้าวโพด แค็ตตาล็อกโฆษณา ฯลฯ) -การใช้แปรงสีฟันมีขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศจีน เมื่อ ค.ศ.1498 โดยเอากระดูกสัตว์มาทำด้ามและเอาขนหมูเป็นขนแปรง ราคาก็แพงสุดๆ จนต้องมีแค่อันเดียวผลัดกันใช้ทั้งบ้าน -ยาสีฟันมีมาตั้งแต่ครั้งอียิปต์ ฯลฯ