ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำคุก "เปมิกา" ฐานฉ้อโกง "หมอเผ่า" เจ้าของสถาบันกวดวิชาชื่อดังเป็นเวลา 4 ปี 6 เดือน ส่วนพวกอีก 3 โดนคุก 3 ปี แต่ให้รอลงอาญา พร้อมให้ชดใช้เงิน 8.4 ล้านคืนให้หมอเผ่า หลังฟังคำสั่งศาลเจ้าตัวถึงกับเศร้า ยื่นหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดิน ย่านบางซื่อ เนื้อที่ 59 ตารางวา ราคาประเมินกว่า 3 ล้าน ขอประกันตัวชั่วคราว แต่ศาลอาญาพิเคราะห์แล้วเห็นควร จึงส่งเรื่องให้ศาลฎีกาเป็นผู้พิจารณาต่อไป คุมตัว "เปมิกา" ไปควบคุมไว้ที่ทัณฑสถานหญิงกลางบางเขนทันที
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 25 ก.ย. ที่ห้องพิจารณาคดี 708 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จำคุก น.ส.เปมิกา หรือ ศิวพร หรือ สิริรัษสิริ หรือ อุ๋ย วีรชัชรักษิต หรือ เหลืองเรณูกุล อายุ 31 ปี อดีตเพื่อนสาวคนสนิท นพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ เจ้าของสถาบันกวดวิชาแอพพลายด์ ฟิสิกส์ จำเลยที่ 1 ฐานฉ้อโกงทรัพย์ รวม 42 เดือน และฐานพยายามฉ้อโกง รวม 12 เดือน รวมโทษจำคุกเป็นเวลา 54 เดือน คิดเป็น 4 ปี 6 เดือน และสั่งจำคุก น.ส.ฤทัย หรือ แนน รุ่งสิริเมธากุล อายุ 29 ปี, นายณัฐพล หรือ ภาสยภูริณฐ์ หรือ ตั้ม พรมประไพ อายุ 34 ปี และนายวทัญญู หรือ ปุ้ย ตันธีระพงศ์ อายุ 33 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนนักศึกษา น.ส.เปมิกา จำเลยที่ 2-4 ในความผิดฐานสนับสนุนให้ฉ้อโกง เป็นเวลา 34 เดือน 60 วัน คิดเป็น 3 ปี และปรับคนละ 27,000 บาท แต่จำเลยที่ 2-4 ประกอบอาชีพการงานมั่นคง และไม่เคยต้องโทษอาญามาก่อน พฤติการณ์เป็นเพียงผู้สนับสนุนโทษจำคุกจึงให้รอลงอาญา 2 ปี หากจำเลยที่ 2-4 ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทน และให้จำเลยที่ 1-4 ร่วมกันคืนทรัพย์สินจำนวน 8,395,387 บาท คืนให้กับโจทก์ร่วมและผู้เสียหาย
ศาลอุทธรณ์ ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้ว มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 ได้รู้จักกับผู้เสียหาย โดยอ้างว่า ตนเองสามารถถอดจิต ระลึกชาติได้ และเคยเป็นสามีภรรยากันมา 99 ภพชาติ ผู้เสียหายมีหนี้กรรมที่จะต้องชดใช้ การกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลักษณะของการกระทำต่อผู้เสียหายมีจิตอ่อน แต่ได้อาศัยความเชื่อถือศรัทธา ว่าจะต้องชดใช้กรรม จำเลยที่ 1 กระทั่งผู้เสียหายยอมมอบเงินให้ ซึ่งหากไม่ถูกหลอกลวงว่า มีหนี้กรรมที่จะต้องชดใช้ ผู้เสียหายก็คงจะไม่มอบทรัพย์สินดังกล่าวให้ ขณะที่กระทำของจำเลยที่ 2-4 เป็นการช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ก่อนที่ ผู้เสียหายจะมอบทรัพย์สินให้กับจำเลยที่ 1 จึงถือเป็นเพียงผู้สนับสนุนไม่ใช่ลักษณะตัวการร่วม ส่วนที่โจทก์และโจทก์ร่วม ขอให้ลงโทษจำเลยสถานหนักนั้น เห็นว่าการลงโทษในคดีอาญาไม่ได้มุ่งหมายในการแก้แค้น แต่เพื่อให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษและรู้สึกหลาบจำ และให้คิดดีทำดีเพื่อจะได้กลับคืนสู่สังคม อีกทั้งจำเลยมีการศึกษา อาชีพการงานมั่นคง ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเหมาะสมแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 และ รศ.เพลินจิต ทมทิตชงค์ มารดาของ นพ.ประกิตเผ่า ร่วมเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องเป็นคดีดำที่ อ.4543/2550 สรุปว่า เมื่อเดือน ต.ค. 2549 - ก.พ. 2550 นพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งมีความอ่อนแอแห่งจิต มีความผิดปกติทางด้านภาวะจิตใจ เป็นโรคจิตอารมณ์แปรปรวน มีความหลงผิดแยกไม่ได้ว่าข้อมูลใดเป็นจริงข้อมูลใดเป็นเท็จ ขาดความยับยั้งชั่งใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีผู้อื่นชักจูง ได้หลงเชื่อตามคำหลอกลวง และการสร้างสถานการณ์ของจำเลยทั้งสี่ โดยเข้าใจว่า ตนเองสามารถนั่งสมาธิจนสำเร็จญาณขั้นสูง สามารถระลึกชาติ ถอดจิตได้ มีอำนาจจิตที่บุคคลธรรมดาไม่สามารถจะทำได้ และยังเชื่อว่า จำเลยที่ 1 มีความสามารถนั่งสมาธิจนสามารถเข้าสู่ฌาน และสามารถระลึกชาติได้เช่นกัน
โดย พวกจำเลยได้ร่วมกันสร้างสถานการณ์หลอกลวงผู้เสียหายให้เข้าใจว่า จำเลยที่ 1 และผู้เสียหายที่ 1 เคยเป็นสามีภรรยากันมาก่อน 99 ภพชาติ ที่ผ่านมา มีหนี้กรรมต้องชดใช้ในชาตินี้ จึงขอให้ผู้เสียหายซื้อรถยนต์โตโยต้าคัมรี่ สีดำ มูลค่า 1,569,000 บาท ให้จำเลยที่ 1 และมอบเงินจำนวน 980,000 บาท เพื่อซื้อแผ่นป้ายทะเบียน สห-9999 รวมทั้งซื้อนาฬิกาโรเล็กซ์ และทรัพย์สินอื่นรวม 10 รายการ มูลค่า 9,658,000 บาท เหตุเกิดที่แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน, แขวงพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร, ตำบลงามวงศ์วาน อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี, ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เกี่ยวพันกัน โดยจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ
ซึ่ง ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2553 ให้จำคุก น.ส.เปมิกา เป็นเวลา 54 เดือน คิดเป็น 4 ปี 6 เดือน และจำคุกจำเลยที่ 2-4 คนละ 34 เดือน 60 วัน คิดเป็น 3 ปี และปรับคนละ 27,000 บาท โดยให้รอลงอาญา และให้จำเลยที่ 1-4 ร่วมกันคืนทรัพย์สินจำนวน 8,035,387 บาท คืนให้กับโจทก์ร่วมและผู้เสียหาย ต่อมาโจทก์และโจทก์ร่วมยื่นอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 สถานหนักและไม่รอลงอาญา กระทั่งวันนี้ศาลจึงมีคำพิพากษาดังกล่าว
น.ส.เป มิกาให้สัมภาษณ์ภายหลังฟังคำตัดสินว่า ตอนนี้ตนเองอยู่บ้าน ไม่ได้ประกอบอาชีพอะไร และมีบุตรที่จะต้องเลี้ยงดู 3 คน ซึ่งวันนี้มารดาของตนเองได้เตรียมหลักทรัพย์ไว้เพื่อจะยื่นประกัน จำนวน 1 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ต่อมาญาติของน.ส. เปมิกา ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ เป็นโฉนดที่ดิน ย่านบางซื่อ เนื้อที่ 59 ตารางวา ราคาประเมิน 3,245,000 บาท พร้อมคำร้องประกอบการพิจารณาทำนองว่า จำเลยยังมีภาระต้องเลี้ยงดูบุตรเล็กๆ อีก 3 คน โดยจำเลยเป็นผู้เลี้ยงดูเอง หากจำเลยต้องถูกคุมขัง เกรงว่าจะทำให้ลูกทั้ง 3 ได้รับความเดือดร้อน จึงขอความเมตตาขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตปล่อยชั่วคราวจำเลยระหว่างฎีกา แต่ศาลอาญาพิเคราะห์แล้วเห็นควร จึงส่งเรื่องให้ศาลฎีกาเป็นผู้พิจารณาเพื่อมีคำสั่งต่อไป ทำให้น.ส. เปมิกาถูกควบคุมตัวไปกุมขังที่ทัณฑสถานหญิงกลางบางเขนในที่สุด
ผู้ สื่อข่าวรายงานอีกว่า ระหว่างที่น.ส. เปมิกา ถูกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นำตัวจากห้องพิจารณา ลงมาที่ห้องควบคุมบริเวณใต้ถุนศาลนั้น น.ส.เปมิกามีดวงตาแดงก่ำ ท่าทางเซื่องซึม ก่อนถูกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นำตัวไปควบคุมไว้ที่ทัณฑสถานหญิงกลางบางเขน ซึ่งคาดว่าอีกประมาณ 3-5 วัน ศาลฎีกาจึงจะมีคำสั่งว่าจะอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวหรือไม่