ทีมงาน toptenthailand ขอเสนอ "10 สายรถรางเบา (Streetcar) ที่สวยที่สุดในโลก และน่าสัมผัส"
เครดิต : พี่พิซซ่า
แหล่งที่มา : http://www.dek-d.com
ถ้าพูดถึงมิลานหลายคนจะนึกถึงแฟชั่นและแบรนด์ระดับโลกอย่าง Armani, Prada หรือ Dolce & Gabbana แต่จริงๆ แล้วรถรางก็เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองเช่นกัน ระบบโครงข่ายที่หน้าตาเหมือนใยแมงมุม และรถรางที่เน้นสีเหลืองและเขียวก็ทำให้จดจำได้ง่าย เครือข่ายนี้มีรถรางให้บริการ 17 สายสำหรับในเมือง และ 2 สายสำหรับข้ามเมือง ราคาตั๋วมาตรฐาน 1.50 ยูโร (ประมาณ 60 บาท) สามารถใช้ไปไหนก็ได้ ภายในระยะเวลา 90 นาทีค่ะ ส่วนตั๋ว 24 ชั่วโมงราคา 4.50 ยูโร (ประมาณ 180 บาท)
ระบบรถรางที่นี่เป็นระบบรถรางใต้ดิน แต่อย่ากังวลว่าถ้าวิ่งใต้ดินแล้วจะเห็นวิวสวยๆ ได้ไง เพราะจริงๆ แล้วจะวิ่งลงใต้ดินแค่ช่วงเข้าสถานีค่ะ ส่วนใหญ่ก็วิ่งด้านบน เป็นรถราง 2 สายที่มี 22 สถานีและวิ่งเลียบแม่น้ำโวลเกอ จากชานเมืองทิศเหนือตรงเข้าสู่ใจกลางเมือง แต่ละวันให้บริการผู้โดยสารกว่า 136,000 คนและกำลังวางแผนจะขยายเครือข่าย รวมทั้งพัฒนาระบบรางให้เป็นมาตรฐานเดียวกับรถไฟฟ้าใต้ดินจริงๆ ส่วนใครที่สงสัยว่าเมืองวอลโกกราดมีอะไรให้ดู เพราะไม่เคยได้ยินชื่อนี้ จริงๆ ชื่อเดิมของเมืองนี้คือสตาลินกราดค่ะ อาจจะคุ้นๆ จากหนังสือเรียนสังคมศึกษากันมาบ้าง ที่เป็นสมรภูมิใหญ่จากสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เอ้า เปิดตำรากันเร็วเข้า ค่าโดยสารเที่ยวละ 10 รูเบิลค่ะ (ประมาณ 10 บาท) ถูกๆ เหมาะแก่การนั่งเล่น 555
รถรางเป็นระบบขนส่งที่สำคัญที่สุดในกรุงเวียนนา เพราะมีสายรถครอบคลุมและกว้างขวางมากๆ แถมยังมีอู่ซ่อมรถรางมากมายทำให้แทบไม่เจอปัญหารถขัดข้องขณะให้บริการเลย นอกจากนี้ยังมีถนนกว้างขวางรองรับรถรางหลายคันให้วิ่งสวนหรือวิ่งคู่ขนานกันไปได้พร้อมๆ กัน ไม่ต้องหยุดรอเปลี่ยนราง นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์รถรางประจำกรุงเวียนนา ที่มีรถรางโบราณมาจัดแสดง โดยเริ่มตั้งแต่รถรางที่มีม้าลาก ค่าโดยสาร 2 ยูโรตลอดสาย (ประมาณ 80 บาท) ใกล้ไกลหรือเปลี่ยนสายไปมาก็จ่ายครั้งเดียวจนกว่าจะลงไปเดินเที่ยวที่อื่น
แม้ระบบรถรางที่นี่ดูจะไม่เข้ากับวิถีชีวิตผู้คนในลิสบอนซักเท่าไหร่ แต่ความขัดแย้งในตัวนี่แหละที่ทำให้รถรางที่นี่ดูมีเสน่ห์ต่อผู้มาเยือน ผู้คนต่างเดินเอื่อยเฉื่อยผ่านหน้ารถรางแบบตามแต่ใจ ทำให้รถรางยิ่งต้องคลานช้าๆ เพื่อหลบคน แถมถนนยังทั้งชันและแคบ จนรถรางคันเดียวก็คับถนนบางสายแล้ว แต่ระบบรถรางของเมืองลิสบอนก็อยู่ยงคงกระพันมากว่าหนึ่งศตวรรษแล้ว ปัจจุบันรถรางเปิดให้บริการ 5 สาย โดยสายที่อยากแนะนำที่สุดคือสาย 28 ที่ผ่านจุดสำคัญๆ ของเมือง เหมือนให้นักท่องเที่ยวเข้าไปอยู่ในใจกลางความเป็นลิสบอนแท้ๆ โดยไม่ต้องลงจากรถ นอกจากนี้สาย 28 ยังต้องผ่านถนนชันสุดแคบมากมาย พร้อมโค้งหักศอกอีกหลายครั้งให้ได้หวาดเสียวเล่น แต่ไม่ต้องกลัวค่ะ ตกมาก็ไม่เป็นไรเพราะช้ามากๆ ค่าโดยสารเที่ยวละ 2.85 ยูโร (ประมาณ 115 บาท) ขึ้นไปซื้อกับคนขับรถได้เลย บริการสะดวกสุดๆ แล้ว
แม้กรุงอัมสเตอร์ดัมจะมีชื่อเสียงจากการเป็นเมืองในฝันของนักปั่นจักรยานทั่วโลก แต่รถรางก็เป็นอีกหนึ่งการเดินทางที่เป็นหัวใจของเมือง ถ้าบ้านเราทำโครงการรถต่อเรือ ที่นั่นก็คงจะเป็นจักรยานต่อรถรางได้ เพราะลักษณะเครือข่ายรถรางที่นี่จะขยายออกไปกว้างๆ พยายามบริการทับเส้นทางกันให้น้อยที่สุดยกเว้นสถานีที่เปลี่ยนรถได้ เพื่อที่จะได้ครอบคลุมทั่วทั้งเมือง ไม่ได้วิ่งแค่ใจกลางเมืองจุดเดียว ปัจจุบันให้บริการทั้งสิ้น 16 สาย โดยสายที่มีชื่อเสียงที่สุดคือสาย 5 เพราะผ่านสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของเมืองมากมายทั้งพระราชวัง โบสถ์ ตลาดดอกไม้ พิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะ และสวนสาธารณะ ตั๋วเดินทาง 24 ชั่วโมงสำหรับการคมนาคมสาธารณะในเมืองราคา 7.5 ยูโร (ประมาณ 300 บาท) แต่รับรองว่าคุ้มแน่ เพราะจะเดินทางได้ทั้งรถราง รถเมล์ และรถไฟใต้ดิน
ระบบรถรางของกรุงเบอร์ลินเป็นระบบที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเยอรมนี และเป็นหนึ่งในระบบรถรางที่เก่าแก่ที่สุดของโลก (เอาเป็นว่ามีมาตั้งแต่กรุงเบอร์ลินยังแยกเป็น 2 ฝั่ง) แต่เพิ่งปรับปรุงล่าสุดปี 1994 ทำให้เป็นหนึ่งในสายรถรางที่ทันสมัยที่สุดในโลก ทั้งใหม่ สะอาด ปลอดภัย ตรงต่อเวลา เป็นรถปรับอากาศที่เหมือนรถไฟฟ้า นอกจากนี้ยังมีทั้งรถรางใต้ดินและรถรางปกติ ซึ่งหน้าตาของรถก็ดูทันสมัยน่าใช้บริการ จนหลายคนบอกว่าถ้ามาเบอร์ลินแล้วถ่ายรูปไม่ติดเจ้าเหลืองนี่ แสดงว่ามาไม่ถึงจริงๆ ราคาตั๋วคิดตามระยะทาง โดยเริ่มที่ 2.40 ยูโรหรือเกือบ 100 บาท แต่รับรองว่าจะได้เห็นทิวทัศน์ที่คุ้มค่าแน่ๆ ปัจจุบันทางการยังวางแผนจะขยายเส้นทางรถรางออกไปให้ใหญ่ที่สุดในโลกให้ได้
เครือข่ายรถรางของเมลเบิร์นเป็นเครือข่ายรถรางที่ใหญ่ที่สุดในโลก ให้บริการครอบคลุมระยะทางกว่า 250 กิโลเมตร มีรถ 30 สาย 487 คัน และมีป้ายรับส่ง 1,763 ป้าย สายรถที่สวยที่สุดคือสาย 96 ที่ให้บริการตัดผ่านใจกลางเมือง เริ่มจากย่าน East Brunswick ขับลงใต้ผ่านชานเมืองสวยๆ ที่ดูสงบ ผ่าน The Royal Exhibition Building ที่เป็นเขตมรดกโลก ไปจนถึงถนน Fitzroy และไปจบที่ชายหาด St. Kilda นอกจากนี้ยังมีรถรางอาหารว่าง ที่เป็นร้านอาหารเคลื่อนที่ ทานไปชมวิวไปได้อย่างเป็นสุข ค่าตั๋วคิดตามระยะทางและโซนที่เลือก แต่ปกติค่าตั๋วเดินทางภายใน 2 ชั่วโมง ในโซนเดียวกันราคา $4 (ประมาณ 125 บาท)
รถรางที่ฮ่องกงนั้น เป็นรถราง 2 ชั้น คล้าย Double-decker ของอังกฤษ ด้วยความที่เป็นเกาะขนาดน่ารัก รถรางจึงให้บริการเป็นเส้นตรงเส้นเดียวตัดผ่านตัวเกาะเลย รถรางทั้งหมดมี 6 สาย ซึ่งให้บริการในระยะทางใกล้ไกลต่างกัน และที่ต่างจากรถรางของประเทศอื่นก็คือ รถรางที่ฮ่องกง มีเลนเป็นของตนเอง ที่รถยนต์ทั่วไปจะเบียดเข้ามาไม่ได้เด็ดขาด ปลอดภัย และขึ้นลงสะดวกสุดๆ ในชั่วโมงเร่งด่วน รถรางจะมาทุกๆ นาทีครึ่ง (บ่อยเว่อร์) การเดินทางตั้งแต่ต้นจนสุดสายใช้เวลาประมาณ 80 นาที ค่าบัตรโดยสารเที่ยวละ HK$2.30 (ประมาณ 9 บาท ถูกกว่านั่งรถเมล์บางสายอีก) แต่สำหรับใครที่จะไปช้อปปิ้งที่ฮ่องกงซัก 3-4 วันแล้วกะจะนั่งรถรางเรื่อยๆ ก็สามารถซื้อบัตรโดยสาร 4 วันได้ในราคา HK$34 (ประมาณ 130 บาท)
รถรางสาย F ของซานฟรานซิสโกนั้น วิ่งตามเส้นทางประวัติศาสตร์สำคัญของเมือง โดยเริ่มจากย่านคาสโตร ขับไปตามมาร์เก็ตสตรีท จนไปจบที่ Fisherman’s Wharf (ตอนนี้หลายคนคงนึกถึงชั้นที่เป็นร้านอาหารของ Terminal 21 แล้ว) ประวัติศาสตร์ของรถรางสายนี้เข้มข้นมาก เพราะตอนที่ทั้งอเมริกา และแทบจะทั่วโลก เปลี่ยนรถรางเป็นรถเมล์ หรือรถไฟฟ้า ที่นี่สามารถอนุรักษ์รถรางเอาไว้ได้จนกลายเป็นสิ่งขึ้นชื่อของเมืองมากกว่าสถานที่ท่องเที่ยวจริงๆ ซะอีก นอกจากนี้ตัวรถที่ใช้ ก็นำรถรางจากทั่วโลกมาใช้ เพื่ออนุรักษ์ไว้ให้เป็นพิพิธภัณฑ์เคลื่อนที่ แบบใช้ได้จริง แม้ว่าจะมีพิพิธภัณฑ์รถรางจริงๆ ให้เข้าชมได้ด้วยก็ตาม ราคาตั๋วเที่ยวละ $2.00 (60 บาท) โดยสามารถโดยสารรถรางได้นานถึง 90 นาที แต่ถ้าอยากอยากจะลองขึ้นหลายสาย หลายเที่ยว เพื่อชมรถรางหลายๆ รุ่นก็สามารถซื้อตั๋วรายวันได้เช่นกัน
รถรางสายเซนต์ชาร์ลส์นี้ให้บริการจากย่านเฟรนช์ควอเตอร์ที่มีชื่อเสียง ไปตามถนนเซนต์ชาร์ลส์ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายทางประวัติศาสตร์ของดนตรีแจ๊ซ และสถาปัตยกรรมสมัยก่อน นอกจากนี้ยังรายล้อมไปด้วยร้านอาหารดัง แหล่งช้อปปิ้ง สวนสาธารณะ สวนสัตว์ และมหาวิทยาลัยชื่อดังของเมืองอย่าง Loyola University การเดินทางหนึ่งเที่ยวใช้เวลาประมาณ 40 นาที ราคาตั๋วเที่ยวละ $1.25 หรือประมาณ 40 บาท แต่รับรองว่าจะได้เห็นเมืองนิวออร์ลีนส์ชัดเจนยิ่งกว่าไปทัวร์ราคาแพง