เปิดตำนานภาพยนตร์ 117 ปี การเดินทางของภาพยนตร์

 

 

 

 

 

เปิดตำนานภาพยนตร์} 117 ปี การเดินทางของภาพยนตร์
 
 
 

 

ภาพยนตร์ 1896 - ปัจจุบัน

คำว่า "ภาพยนตร์" ตามที่ผมได้เรียนมา คือการรวมกันของคำสองคำ นั่นคือ คำว่า "ภาพ" ก็คือรูปภาพนั่นแหละครับ
และคำว่า "ยนตร์" คือการเคลื่อนไหว ไม่ใช่ "ยนต์" ที่แปลว่าเครื่องกลไก นะครับ


ซึ่งก็คือรูปภาพที่เคลื่อนไหวได้นั่นเอง 

เท่าที่พอจำได้ ไอ้จุดเริ่มของการเกิดภาพเคลื่อนไหวครั้งแรกของโลกนั้นมาจาก "การพนัน" ครับ

เรื่องของเรื่องก็คือ มีเศรษฐี 2 หน่อที่คาดว่าจะติดพนันงอมแงม ไปแทงม้าด้วยกันแล้วสงสัยกันว่า

จังหวะที่ม้าวิ่งจะมีขณะหนึ่งที่เท้าทั้ง 4 ลอยจากพื้นหรือไม่ โดยคนนึงเชื่อว่าลอยหมดและอีกคนเชื่อว่าต้องมีเท้าใดเท้าหนึ่งแตะพื้น

เมื่อความเห็นไม่ตรงกัน "การพนัน" ย่อมเกิด ทั้ง 2 เริ่มหาวิธีพิสูจน์เพื่อทำการตัดสินผลแพ้ชนะ

สุดท้ายก็ได้จ้างคนมาประดิษฐ์กล้องถ่ายรูปที่ลักษณะคล้ายปืน เพราะดัดแปลงมาจากการทำงานของปืน

ซึ่งเป็นที่มาของ คำว่า "Shooting" เวลาถ่ายหนังทุกวันนี้ครับ











แล้วก็เอาไอ้กล้องที่ว่าเนี่ยติดไว้ทั่วสนาม โดยใช้ลวดหรือเชือกอะไรก็ไม่ทราบผมเกิดไม่ทัน เป็นกลไกกดชัตเตอร์

เมื่อม้าวิ่งมาก็เตะลวด(ละกัน) กล้องก็ถ่ายไว้ 

และแล้วก็ล้างรูปมาดูกัน ให้ตายเถอะ!!! ม้าลอยได้ ใครได้ใครเสียก็ไม่ทราบ แต่เชื่อว่าคนเสียคงหน้าแหกไม่ใช่น้อย

นั่นเป็นจุดเริ่มที่ไปสะกิดติ่งนักประดิษฐ์ที่มีนามว่า Thomas Alva Adison ซึ่งไอ้ติ่งที่ว่านี่ก็ดันไม่ได้มองแค่ภาพม้าลอยได้ภาพเดียว

ติ่งเอดิสัน ดันประมวลภาพต่อเนื่องของม้าวิ่งทีละภาพต่อกัน จนเกิดความกระสันอยากสร้าง "ภาพเคลื่อนไหว" ขึ้น










และแล้วในปี 1889 Adison ก็สร้างตู้หรรษาที่มีชื่อว่า "Kinetoscope" อ่านว่า คิเนโทสโคป (มั๊ง) 

โดยใช้หลักการภาพติดตา ก็คือ ใช้ภาพนิ่งหลายภาพเรียงต่อกัน ด้วยความเร็วคงที่ภาพนั้นก็จะดูเหมือนเคลื่อนไหวได้ เจ๋งว่ะ!!!

โดยตู้ที่ว่านี่ก็จะดูภาพเคลื่อนไหวได้แค่ที่ละคนเท่านั้น โดยด้านในก็จะใส่ฟิล์มที่ถ่ายด้วยกล้อง เอดิสันประดิษฐ์ ที่ชื่อว่า "Kenetograph" อ่านว่า คิเนโทกราฟ

โดยไอ้ฟิล์มที่ว่าก็จะมีหลอดไฟอยู่ด้านหลัง ฟิล์มก็วิ่งเป็งวงรอบหลอดไฟอ่ะ นึกออกป่ะ
ด้วยความราว 48 เฟรม ต่อ 1 วินาที เร็วสาดดดดดด

ปัจจุบันใช้ 24/ sec นะครับ มากกว่า 24 ก็ไม่รู้หรอกเพราะสายตาเรารับภาพได้ที่ 24 

อย่างเราดูทีวี ก็ 25 / วินาที ก็ไม่รู้สึก















ประมาณนั้น ก็คงสำเร็จและฮือฮาพอสมควร ก็เลยถูกพัฒนาต่อโดย 2 พี่น้องตระกูล Lumiere 

ตอนเรียนไม่มีใคบอกด้วยว่าไอ้ "พี่น้องลูมิแอร์" เนี่ยชื่อไรมั่ง ที่สำคัญก็ไม่...ถามด้วย

สรุปก็คือสองหนุ่มลูมิแอร์ได้พัฒนาเครื่องที่มีชื่อว่า "Cinimatograph" โดยไอ้เจ้าซีเนมาโตกราฟ เป็นเครื่องฉายภาพยนตร์

โดยเป็นต้นแบบของเครื่องฉายทุกวันนี้ เป็นที่มาของคำว่า "ซีนีมา" ทุกวันนี้







โดยภาพยนตร์เรื่องแรกของโลกนั้นมีชื่อว่า "Arrival of a Train at La Ciotat"

ฉายครั้งแรกที่ปารีส ความยาว 50 วินาที เป็นภาพรถไฟเทียบชานชลา(แค่นั้นแหละ) ฉายครั้งแรกคนวิ่งหนีกันเละ

ก็คนไม่เคยเห็นนี่หว่า ต่อมาก็เริ่มมีการใส่เรื่องราว โดยที่จี๊ดๆเลยก็ต้อง sci-fi เรื่องแรก

"A Trip to the Moon" เรื่องราวการเดินทางสู่ดวงจันทร์ ก่อนไปจริง 67 ปี แม่เจ้า !!!

นอกจากนี้ภาพยนตร์ยุคแรกที่น่าสนใจก็มี 

Un Chien Andalou เรื่องแรกที่เรียกว่าเป็นจุดเริ่มของ เอฟเฟกซ์ต่างๆในปัจจุบัน

The Cabinet of Dr. Caligari ต้นแบบหนังหักมุม และ มืดมน งานต้นแบบของ Tim Burton

Battleship Potemkin (1925)เทพตัดต่อ งานลำดับภาพที่สร้างรูปแบบมาจนถึงปัจจุบัน

Nanook of the North (1922) สารคดีเรื่องยาวถ่ายทอดเรื่องราวของชาวเอสกีโม

Man with a Movie Camera (1929)งานถือกล้องส่องเมือง รูปแบบการถ่ายทำแบบ The Blair Witch Project (1999)!!!

Nosferatu (1922) หนังแวมไพร์เรื่องแรก จริงๆก็แดรกคิวล่า นั่นแหละ


ทั้งหมดทั้งมวลนั้นยังไม่ได้ก่อตัวกันเป็น HOLLY WOOD นะครับ ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นหนังยุโรป

ซึ่งเอาจริงๆแล้ว Holly wood อ่ะเริ่มที่ฝรั่งเศส แต่แล้วด้วยเหตุผลทางการเงินการลงทุน และอิทธิพลมืด

ชาวแกงค์นักทำหนังก็เลยหนีมาที่ USA มาสานฝัน โดยมีแกนนำ เป็น สองพี่น้องลูมิแอร์นี่แหละ แล้วก็นักสร้างหนังจากยุโรป

รวมถึง Charles Chaplin หนุ่มอังกฤษ ที่คนไทยมองเป็นแค่ตัวตลก แต่ความจริง Chaplin นี่ถือเ็นแกนนำตัวจริงเลย

ด้วยผลงาน กำกับ 72 เรื่อง เขียนบท 87 เรื่อง ตัดต่อ 56 เรื่อง ทำดนตรีประกอบ 43 เรื่อง แสดง 86 เรื่อง ฯลฯ 

ตอนนี้ที่ไทยพูดอีสานเป็นตัวตลกครับ เค้าบูชากันทั้งโลก






ต่อมายุคหลังที่สร้างความมั่นคงให้ Holly Wood ก็คืออีกหนึ่งหนุ่มอังกฤษ ขถบแห่งวงการอันมีนามว่า Alfred Hitchcock 

จริงๆ Hitchcock เริ่มกำกับงานชิ้นแรกตั้งแต่ 1922 ชื่อเรื่อง Number 13 แต่ถ่ายไม่จบ

จากนั้น Hitchcock ก็สร้าปรากฎการความสำเร็จทางรายรับ และธุรกิจภาพยนตร์เริ่มเป็นรูปร่าง

พูดง่ายๆคือ Hitchcock ดึงดูดนายทุนมาลงทุนสร้าง Holly Wood นั้นเอง





อีกหนึ่งบุรุษที่แม้ไม่ได้ช่วยสร้าง Holly wood โดยตรงแต่ภาพยนตร์ของเค้าก็ข้ามน้ำข้ามทะเลไปเป็นแบบอย่างในการสร้างหนังคาวบอย

ในยุค Holly Wood ซบเซา ภาพยนตร์ญี่ปุ่น แนวซามูไร ที่มีชื่อว่า Yojimbo ที่กำกับและเขียนบทโดย Akira Kurosawa 

โดยเข้ามาเป็นแบบอย่างหนังคาวแนวข้ามาคนเดียว พูดง่ายคือ Kurosawa ทำหนังให้ผู้กำกับ Holly wood ลอกแบบไม่ได้เครดิต

และช่วยให้ Holly wood ไม่ล้ม ด้วยหนังเพียง 4-5 เรื่อง











สรุปคือ ถ้ารวมผลงานทั้ง 3 นี้ Kurosawa 32 เรื่อง Hitchcock 67 และ Chaplin 72 เรื่อง 

หากได้ดูทั้งหมด หนัง Holly Wood คงไม่มีอะไรแปลกใหม่อีกต่อไป

Holly wood เองก็รู้ตัว เริ่มมองหารูปแบบใหม่ๆในการ coppy แต่เดี๋ยวนี้ต้องซื้อลิขสิทธิกัน

เราจึงเห็นหนังเอเชียมากมายถูกรีเมค รวมทั้งหนังสือการ์ตูนซูปเปอร์ฮีโร่ทั้งหลาย ซีรีย์โทรทัศน์ถูกปัดฝุ่นนำมาสร้างใหม่

เรื่องล้มคงไม่ต้องกลัวเพราะค่ายหนังทำหนังไงก็คงเจ๊งอยาก ลองขาดทุนเรื่องนึงปล่อยแอ็กชั่นด้านๆออกมาก็ได้ทุนคืนแล้ว 
ต่อให้เจ๊งในอเมริกา ก็ยังมีตลาดโลกให้โกยเงินกันอยู่ดี 
ที่มา: http://www.soccersuck.com/boards/topic/896230
Credit: http://board.postjung.com/708239.html
23 ก.ย. 56 เวลา 08:44 1,190 90
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...