เจ้าศรีพรหมา ผู้กล้าปฏิเสธ"ความรักจาก ร.5"
จากภาพ
บนซ้าย รูปเจ้าศรีพรหมาที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงฉายให้ด้วยฝีพระหัตถ์และทรงตั้งไว้ในห้องพระบรรทม
บนขวา รูปเจ้าศรีพรหมาเมื่อกลายมาเป็นหม่อมศรีพรหมา ในหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร
ล่าง รูปคู่รูปเจ้าศรีพรหมากับหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ในวัยชรา
เจ้าศรีพรหมา เป็นธิดาของเจ้าผู้ครองนครน่าน
เจ้าศรีพรหมาเกิดเมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ.2431 เมื่อเจ้าศรีพรหมาอายุได้ 3 ขวบเศษ พระยามหิบาลบริรักษ์ ข้าหลวงในรัชกาลที่ 5 และคุณหญิงอุ๊น ภรรยา ได้ขอเจ้าศรีพรหมา ไปเป็นบุตรบุญธรรม เจ้าศรีพรหมาจึงได้ไปอยู่กับพระยามหิบาลฯ ที่กรุงเทพฯ
เจ้าศรีพรหมาใช้ชีวิตและเรียนหนังสืออยู่ในวังร่วมกับเจ้านายในพระราชวงศ์จักรี เป็นเวลา 3 ปี จึงได้ตามครอบครัวพระยามหิบาลบริรักษ์ไปอยู่ที่ประเทศรัสเซียและประเทศอังกฤษ ตามลำดับ ทำให้ได้มีโอกาสฝึกฝนภาษาอังกฤษไปด้วย
เมื่อเจ้าศรีพรหมากลับจากต่างประเทศ ก็ได้เข้าไปรับราชการเป็นคุณข้าหลวงในสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี ซึ่งบางคราวก็ทำหน้าที่เป็นล่ามติดต่อกับชาวต่างประเทศ ในช่วงนั้นเจ้าศรีพรหมากำลังเป็นสาวเต็มตัว มีทั้งความสวย และอุปนิสัยโอบอ้อมอารี มีความเชื่อมั่นในตัวเอง ผิดจากสตรีชาววังทั่วไป เนื่องจากได้ไปใช้ชีวิตช่วงหนึ่งที่ต่างประเทศ
พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่5 ทรงพอพระราชหฤทัยเป็นอย่างมากถึงกับจะโปรดให้รับราชการเป็นเจ้าจอม จนมีขุนนางบางท่านได้พูดถึงเรื่องนี้กันว่า ถึงกับจะให้เป็นพระสนมเอกเลยทีเดียว แต่เจ้าศรีพรหมาก็ได้กราบทูลปฏิเสธโดยเลี่ยงที่จะทูลเป็นภาษาไทย จึงทูลเป็นภาษาอังกฤษแทนเมื่่อแปลเป็นไทยความว่า "ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ข้าพระพุทธเจ้าเคารพพระองค์ในฐานะพระมหากษัตริย์ มิได้รักใคร่พระองค์ท่านในทางชู้สาว" ซึ่งรัชกาลที่ 5 ก็ทรงเมตตาให้เป็นไปตามความต้องการของเจ้าศรีพรหมา และทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อเจ้าศรีพรหมาเสมอ ถึงกับฉายรูปเจ้าศรีพรหมาด้วยพระองค์เอง และเก็บไว้ในห้องบรรทมตลอดมา
เจ้าศรีพรหมาได้เษกสมรสกับหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร เจ้าศรีพรหมาจึงมีฐานะเป็น “หม่อมศรีพรหมา” ตั้งแต่นั้น
คุณเป็นคนมีน้ำใจ ขอบคุณที่กด Like.ให้ครับ
ที่มา:คลังประวัติศาสตร์ไทย