แน่นอนว่าใครที่ชื่นชอบออกกำลังกาย จำนวนไม่น้อยชอบกายบริหารพร้อมเสียงเพลง ไม่ว่าจะวิ่ง แอโรบิค หรือออกกำลังกายท่วงท่าต่างๆ ดนตรีมีส่วนช่วยให้เพลิดเพลิน

แต่มีผลวิจัยว่า ดนตรีไม่ใช่แค่สร้างความเพลิดเพลินระหว่างออกกำลังกายเท่านั้น แต่มันยังมีบทบาทช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเกิดความตื่นตัวที่จะออกกำลังกายมากขึ้นด้วย รวมทั้งมีส่วนส่งเสริมกับพละกำลังบางอย่าง ดังผลวิจัยที่มีการไปสำรวจกับหลายประเภทกีฬาที่พบว่า การฝึกฝนกีฬาขณะที่ฟังดนตรีไปด้วยมีส่วนช่วยให้ทำเวลาได้ดีขึ้น แม้แต่กีฬาอย่างว่ายน้ำ!?! ที่เปิดคลอไปกับการว่ายน้ำ ผลคือนักกีฬาสามารถทำเวลาได้เร็วขึ้นในการแตะขอบสระ

งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยบรูเนลในลอนดอนระบุว่า ช่วงจังหวะความเร็ว หรือ Tempo ที่จังหวะ 125-140 บีท ของเพลงหลายเพลงมีส่วนช่วยกระตุ้นพลังในร่างกายเราให้เกิดความคึกคักขึ้นเป็นพิเศษ เพราะช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนและเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกาย ซึ่งนั่นมีส่วนช่วยกระตุ้นให้เราเกิดความรู้สึกอยากขยับแข้งขาออกกำลังกายได้

เพราะเสียงดนตรีสามารถกระตุ้นความรู้สึกส่งผ่านทางร่างกาย มีการทดลองผ่านจากเพลงคลาสสิค เช่น ซิมโฟนีหมายเลข 3 ของบีโธเฟ่น ในคีย์ อีแฟลตเมเจอร์ รวมทั้ง ซิมโฟนีหมายเลข 40 ในคีย์จีไมเนอร์ของโมสาร์ท แม้กระทั่งดนตรีที่มีเนื้อร้องและช่วยกระตุ้นอย่างเพลง Chariots of Fire จากภาพยนตร์ ที่ในเรื่องเปิดเพลงนี้คลอไปกับฉากวิ่งเลียบชายหาด

แม้กระทั่งครูสอนฟิตเนสในนิวยอร์ก็ยอมรับว่า การพยายามนึกถึงจังหวะเพลงในใจระห่วางการวอร์มอัพร่างกายก็ช่วยกระตุ้นให้อยากออกกำลังกายด้วยเช่นกัน

แต่ใครรู้สึกเบื่อกับการฟังเพลงที่มีเทปโป้หรืออัตราจังหวะในแบบเพลงคลาสสิคที่อาจจะดูน่าเบื่อไม่ทันสมัยไปมีการแนะนำ 9 เพลงต่อไปนี้ที่มีจังหวะอยู่ที่125-140 บีทต่อนาที เข้าข่ายเป็นเพลงส่งเสริมการออกกำลังกายเผาผลาญไขมันให้คุณได้

1.The Black Eyed Peas เพลง Boom Boom Pow (131 บีท/นาที)

2.Calvin Harris featuring Tinie Tempah เพลง Drinking from Bottle (128 บีท/นาที)

3.D′Banj เพลง oliver Twist (125 บีท/นาที)

4.Kesha เพลง Die Young (128 บีท/นาที)

5.Psy เพลง Gangnam Style (132 บีท/นาที)

6.Flo Rida เพลง Let It Roll (128 บีท/นาที)

7.will.i.am featuring Britney Spears เพลง Scream & shout (130 บีท/นาที)

8.Michael Jackson เพลง Beat It (140 บีท/นาที)

9.Lady Gaga เพลง Edge of Glory (128 บีท/นาที)