Nikolai Dzhumagaliev "The Metal Fang" (นิโคไล เซอร์มอนเกลีฟ "คุณเขี้ยวเหล็ก")

 


นิโคไล ถือกำเนิดในปี ค.ศ.1952 ย่านอัลมา อาตา คาซัคสถาน ในปี ค.ศ.1952 เวลานั้นดินแดนแห่งนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของ
คอมมิวนิสต์รัสเซีย ด้วยการปกครองด้วยระบอบคอมมัวนิสต์ส่งผลให้คนส่วนใหญ่ทั้งประเทศยากจนกันถ้วนหน้า …“เขี้ยวเหล็ก”
เป็นอีกสมญานามของนิโคไล เขาได้สมญานี้มาฟันของเขา ฟันทั้งปากของเขาทำจากโลหะ เนื่องจากฟันแท้ๆ ของเขาหลุดหมดปาก
เวลายิ้มให้ใครหรือเวลาพูดกับใคร เขี้ยวเหล็กจึงกลายเป็นตัวเสริมเสน่ห์ให้เขาเป็นอย่างดี นอกจากนี้เขายังมีคุณสมบัติในด้านแต่งตัวดี
เรียบร้อย น่าคบหา ประกอบกับเป็นคนสุภาพ รู้กาลเทศะ มองจากภายนอกเหมือนกับว่าเขาเป็นคนมีความรู้อย่างยิ่ง
และนั่นเองที่ทำให้หลายต่อหลายคนหลงคารมและตายใจต่อเขาได้ง่ายดาย
 
ในประวัติไม่รู้ว่าเขาถูกเลี้ยงดูจากสภาพครอบครัวแบบไหน ทำไมถึงกลายเป็นฆาตกรโหดไปได้ รู้เพียงแต่ว่าปลายทศวรรษที่ 70
นิโคไลเคยมีประวัติฆ่าคนมาก่อน แต่เขาได้รับโทษจำคุกเพียง 1 ปีเท่านั้น ก่อนได้รับอิสรภาพและก่อคดีฆ่ากินศพในเวลาต่อมา
…ในเวลาที่นิโคไลออกอาละวาดกินคนนั้นเขาเป็นคนงานในเมืองอัลมา อาตา นั่นเป็นที่ที่เขารู้จักผุ้คนมากมายทั้งชายและหญิง
เขารู้ที่ที่สาวๆ ชอบไปเล่นหรือผ่อนคลาย นั่นก็คือลานริมแม่น้ำประจำเมือง
 
ที่นั่นเป็นจุดชมวิวที่ยอดเยี่ยม มีความพร้อมในทุกด้านและที่สำคัญมันเป็นที่พร้อมสรรพในการเลือกหาเหยื่อที่เขาต้องการเสมอ
เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเดินเตร็ดเตร่เลือกเหยื่อที่ถูกซะตาเขามากที่สุด …ใกล้ๆ ริมแม่น้ำประจำเมืองมีสวนสาธารณะขนาดใหญ่
มันเป็นสาวนสาธารณะที่กว้างขวางและรกครึ้ม ซึ่งส่วนที่ลึกสุดของสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยป่ารกดงทึบ จนแทบเรียกมันได้ว่าป่า
ซึ่งมันเป็นจุดที่เปลี่ยว มืดมิด เหมาะมากในการล่อเหยื่อมาฆ่า
 
นิโคไล รู้ถึงข้อดีของตัวเองดี เขาใช้มันเป็นประโยชน์ในการทำให้สาวๆ หลงคารมของเขาอย่างง่ายๆ เขาเลือกเหยื่อที่หมายปองไว้
และหลอกได้ทุกครั้ง ซึ่งหญิงสาวที่หลงคารมเขาและตกเป็นเหยื่อสวาท จะกลายเป็นเหยื่อของนิโคไลโดยไม่มีเหยื่อรายไหน
รอดเงื่อมมือเขาไปได้ และเมื่อถึงเวลาฆ่าเขาจะใช้มีดปลายแหลมและขวานขนาดเล็กเหมาะมือในการช่วยตัด ฟัน ชำแหละเนื้อ
ของเหยื่ออย่างรวดเร็วเสมอ ความชำนาญของนิโคไลนั้นเหนือชั้นจริงๆ เพราะเขาใช้เวลาไม่นานในการแยกเหยื่อเป็นชิ้นๆ อย่างสวยงาม
ถ้ามีเวลา นิโคไลจะปรุงอาหารจากเนื้อของเหยื่อ ณ จุดนั้นที่เป็นที่สังหารทันที เขาตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้กัดแทะเนื้อของเหยื่อ
เข้าปากอย่างใจเย็น เมื่ออิ่มหนำสำราญแล้ว นิโคไลจะนำถุงบรรจุเนื้อติดมือกลับมาในปริมาณมากๆ เพื่อกลับไปกินที่บ้านต่อไป…
 
อย่างที่บอกช่วงเวลานั้นแดนคาซัคสถานยังเป็นส่วนหนึ่งของโซเวียต ซึ่งมีแต่คนยากจนรายได้น้อย ดังนั้นเนื้อสัตว์จึงมีราคาแพงมาก
สำหรับชาวบ้าน บางคนแทบไม่เคยกินเนื้อมานานเป็นเดือน อย่างเก่งก็ได้แค่ต้นมันฝรั่ง ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งโปรตีนแบบคนจน
ที่จะพอประทังชีวิตไปได้เป็นช่วงๆ ดังนั้นเมื่อนิโคไลนำเนื้อที่เขาอ้างว่าเป็นเนื้อสัตว์มาแจกจ่ายผู้คนหิวโหยในละแวกบ้าน
ทุกคนไม่มีใครปฏิเสธ ไม่มีใครสงสัย บางคนสรรเสริญนิโคไลราวกับพ่อพระด้วยซ้ำไป
 
บางครั้งนิโคไลจะปรุงอาหารค่ำมาแจกจ่ายเพื่อนบ้านหรือบางทีก็ทำอาหารร่วมกันมาแบ่งกันอย่างเอร็ดอร่อย ราวกับมีงานชุมนุม
ครั้งสำคัญและในช่วงระยะ 10 ปีที่เขาสังหารเหยื่อ ทุกๆ 2-3 วัน เพื่อนบ้านจะได้เนื้อสดที่นิโคไลมาแจกจ่าย…


 
นิโคไลไม่เคยบอกเพื่อนบ้านว่าเนื้อที่พวกเขากำลังกินอยู่นั้นได้มาจากไหนและเป็นเนื้อของสัตว์อะไรแน่ อย่างไรก็ตามเพื่อนบ้าน
ให้การในภายหลังว่าเนื้อที่เขาแจกจ่ายมาให้กินนั้น เป็นเนื้อที่อร่อยที่สุดในโลก บางคนกินแล้วติดใจอยากจะกินอีก
จนถึงกับเอาเรื่องนี้มาพูดกับนิโคไล ซึ่งเขาได้แต่หัวเราะและบอกว่าถ้ามีโอกาสจะหามาให้กินอีก
 
นิโคไลลอยนวลถึง 10 ปีเต็มๆ แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็พลาดท่าจนได้ เมื่อเขาเดินทางเข้าเมืองเพื่อร่ำสุรากับเพื่อนหน้าใหม่ 2 คน
อย่างมีความสุข นิโคไลเมามายและพูดคุยกับเพื่อนใหม่อย่างถูกคอ จากนั้นนิโคไลก็เอ่ยปากชวนเพื่อนใหม่ทั้งสองให้มากิน “อาหารว่าง”
กันต่อที่บ้านของเขา ทั้งสองไม่รอช้ารับคำเชิญทันทีเพราะต่างคนต่างหิวจนตาลายอยู่แล้ว ทุกคนมาบ้านของนิโคไลด้วยสภาพเมามาย
ซึ่งนิโคไลเจ้าของบ้านแทบเมาไม่ได้สติและเพื่อนใหม่ขี้เมาสองคนได้ถือโอกาสนี้เข้าครัวเพื่อไปหาของกิน

และเมื่อพวกเขาเข้าครัวพวกเขาก็ได้พบหัวของผู้หญิงวางหราอยู่บนเขียงขนาดใหญ่คู่กับไส้มนุษย์ที่วางขดอยู่เคียงกัน
ราวกับว่าวัตถุดิบเหล่านั้นพร้อมที่จะนำไปประกอบอาหารยังไงอย่างงั้น …เมื่อเห็นภาพดังกล่าว ขี้เมาทั้งสองก็หายเมาเป็นปลิดทิ้ง
และวิ่งแจ้นไปหาตำรวจให้ลากนิโคไลเข้ากรงทันที และเรื่องราวของคนกินคนอีกรายก็เผยออกไปทั่วคาซัคสถานในเวลาต่อมา
 
เมื่อชาวบ้านได้รู้ความจริงว่าอะไรเป็นอะไร ต่างอาเจียนกันถ้วนหน้า…
 
นิโคไลถูกส่งฟ้องศาลและในการพิจารณาคดีที่ศาลนั้น ปรากฏว่านักจิตวิทยาลงความเห็นว่า นิโคไลไม่อยู่ในสภาพที่จะสู้คดีความ
ได้และลงความเห็นว่าเขามีอาการทางจิตต้องบำบัด ผลสุดท้ายศาลมีคำสั่งให้ส่งตัวนิโคไลไปบำบัดจิตที่สถาบันโรคจิต
เมืองแทสเค้นท์
 
นิโคไลทนรับการบำบัดในแทสเค้นท์อยู่ได้ระยะหนึ่ง จนปี ค.ศ.1989 นิโคไลหลบหนีสถานบำบัดทางจิต พร้อมกับเพื่อนๆ
โรคจิตด้วยกัน จากนั้นเขาก็หายสาบสูญไปสองปีเต็มๆ ไม่มีใครพบเห็นเขาอีกเลย แต่กระนั้นก็ไม่มีข่าวผู้หญิงถูกฆ่าและกินศพอีก
คาดว่าเขาเพียงแต่หนีและกบดานแบบเงียบๆ มากกว่าจะหนีออกอาละวาดฆ่าคน
 
สิงหาคม ค.ศ.1991 นิโคไลถูกจับตัวได้ หลังแอบหลบซ่อนสองปี เขาถูกส่งตัวไปรับการบำบัดฟื้นฟูจิตใจอีกครั้งในเฟอร์กานา
อุซเบกีสถาน
 
ค.ศ.1994 นิโคไลได้รับรับการรักษาอาการทางจิตและถูกปล่อยตัวออกมาเป็นอิสระ โดยไม่ถูกดำเนินคดีทางกฎหมายอาญา
ต่อจากนั้นเลย ทั้งๆ ที่ตามกฎหมายเขียนไว้ว่าถ้าเขากลับเป็นปกติแล้วน่าจะต้องรับโทษแบบคนปกติหลังการบำบัด
 
ทุกวันนี้ นิโคไล เซอร์มอนเกลีฟ อายุประมาณ 60-51 ปี อาศัยอยู่กับญาติของเขาในประเทศใดประเทศหนึ่งในยุโรปตะวันออก
ที่ไม่สามารถระบุสถานที่ชัดเจนได้ และเขาคงยังอยู่สุขสบายจนถึงทุกวันนี้

Credit   http://www.cmxseed.com/

Credit: http://www.unigang.com/Article/15772
21 ก.ย. 56 เวลา 11:59 2,848 60
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...