มหัศจรรย์สาวน้อยตาเอกซเรย์

ไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดาเลยหากว่าคนคนหนึ่งจะสามารถมองทะลุร่างกายของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้ เพียงแค่การเปลี่ยนวิธีการมองไปในอีกลักษณะหนึ่งเท่านั้น สำหรับบางคนนี่อาจเป็นแค่เรื่องของคนประหลาด แต่ทว่าในมุมมองของคนที่ต้องพึ่งพาความสามารถพิเศษนี้ นี่คือพรสวรรค์ที่พระเจ้าประทานมา

ผู้คนในรัฐซารันสค์ นครหลวงของ มอร์โดเวีย หนึ่งในสาธารณรัฐที่ยากจนที่สุดของอดีตสหภาพโซเวียต เรียกเธอว่า "ทูดา" ซึ่งแปลว่า ปาฏิหาริย์

แต่ความจริงแล้วสาวน้อยคนนี้มีชื่อว่า นาตาชา เด็มคินา เธอเพิ่งมีอายุเพียงแค่ 17 ปีเท่านั้น แต่ความสามารถพิเศษของเธอที่สามารถมองเห็นภายในร่างกายมนุษย์กลับทำให้เธอกลายเป็นที่รู้จัก หลังจากนาตาชาใช้มันเพื่อช่วยชีวิตผู้คนที่ไม่สามารถเข้ารับการรักษาจากแพทย์ได้

 

แม้ว่านาตาชาจะช่วยชีวิตผู้คนไว้มากมาย แต่ทว่าเธอกลับถูกตั้งคำถามว่า "พรสวรรค์ของเธอเป็นเรื่องจริงหรือไม่" ดังนั้นนาตาชาจึงยอมเข้ารับการทดสอบโดยนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำจากอังกฤษและอเมริกาที่พยายามจะจับผิดเรื่องนี้ให้ได้

การทดสอบนี้อาจเปลี่ยนชีวิตของนาตาชาไปในอีกแง่มุมหนึ่ง เพราะหากว่าเธอผ่านการทดสอบนั่นหมายถึงชื่อเสียงของเธอจะโด่งดังไปทั่วโลก ตรงข้ามหากว่าไม่ผ่านชื่อเสียงที่เคยมีก็อาจจะพังย่อยยับไปพร้อม ๆ กับความหวังและความฝันของคนไข้ที่เลื่อมใสศรัทธาเธอ


"กลไกการมองเห็นของฉันค่อนข้างเรียบง่าย ฉันมีการมองเห็นสองแบบ แบบแรกคือการมองเห็นแบบธรรมดาเหมือนทุก ๆ คน ส่วนการมองเห็นแบบที่สองนั้นฉันเรียกว่าทัศนวิสัยทางการแพทย์ เมื่อเปิดสวิตช์ทัศนวิสัยทางการแพทย์ ฉันก็จะเห็นลักษณะเดร็นยาล เหมือนกับเวลาที่คุณเปิดตำรากายวิภาค คุณก็จะเห็นโครงสร้างทางกายวิภาค

ถ้าฉันจำเป็นต้องตรวจสอบอวัยวะบางอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น อย่างเช่น หัวใจ ปอด ไต หรือตับ ฉันก็จะเพ่งมองดูที่อวัยวะนั้น ๆ ให้ใกล้ขึ้น ฉันสามารถเห็นการทำงานของกระบวนการเหล่านี้ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น การไหลเวียนของโลหิต หรือระบบการหายใจ ฉันเห็นการไล่เฉดสีที่สดใสมาก ๆ ฉันนึกไม่ออกเลยว่าฉันเคยเห็นสีสันผสมผสานกันแบบนี้ที่ไหน คุณอาจจะแค่เปรียบมันได้กับดวงอาทิตย์ตก"

 

ความสามารถพิเศษของนาตาชาเริ่มต้นขึ้นเมื่อเธอมีอายุเพียง 10 ขวบ เธอสามารถมองผ่านเสื้อผ้าเข้าไปในร่างกายคนไข้ แต่ไม่สามารถมองเข้าไปในวัตถุที่ไม่มีชีวิต เช่นเดียวกับไม่สามารถมองเข้าไปในตัวเอง

นี่อาจเป็นอำนาจลึกลับพิเศษสำหรับคนทั่วไป แต่นักวิทยาศาสตร์กลับเรียกกันว่าอำนาจประหลาดที่   วิทยาศาสตร์ปัจจุบันไม่สามารถอธิบายได้ ทว่านี่ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับรัสเซีย เพราะก่อนหน้านี้เคยมีประวัติศาสตร์การรักษาในลักษณะนี้มาแล้ว

ทุกวันหลังกลับจากโรงเรียนนาตาชาจะต้องตรวจคนไข้ถึงคืนละ 20 คน สัปดาห์ละห้าคืน และปีนี้เพิ่งเป็นปีแรกที่เธอเริ่มขอเงินบริจาคเพื่อสะสมไว้สำหรับความใฝ่ฝันของเธอ นั่นคือการเข้าเรียนในโรงเรียนแพทย์กรุงมอสโก และช่วยครอบครัวของเธอให้หลีกหนีจากความยากจน

สาเหตุที่ทำให้ผู้คนต่างเชื่อมั่นในตัวนาตาชา น่าจะมาจากการที่พวกเขาเหล่านั้นไม่สามารถพึ่งพาโรงพยาบาลที่อยู่ในสภาพอนาถาได้ นาตาชาจึงกลายเป็นความหวังสุดท้ายที่มีอยู่

เอดิค คนไข้คนหนึ่งถูกแยกรักษาอยู่ในโรงพยาบาลวัณโรคของเมืองซารันสค์โดยที่อาการไม่ดีขึ้น เขาจึงหันมาหานาตาชา ด้วยสายตาของเธอ เอดิคได้รับการแนะนำให้ไปพบแพทย์ที่กรุงมอสโก โดยมีภาพวาดของนาตาชาที่สามารถบ่งชี้ลักษณะบางอย่างของอาการ "ซาร์คอยโดสิส กรานูโลมา" ซึ่งหมายถึงแผลเรื้อรังในปอดซึ่งเกิดจากกลุ่มเซลล์ภูมิคุ้มกัน

แต่นั่นก็ไม่สามารถพิสูจน์ความสามารถที่แท้จริงของนาตาชาได้ ดังนั้นเธอจึงต้องเดินทางไปอเมริกาเพื่อพบกับผู้เคลือบแคลงใจอย่างนักวิทยาศาสตร์จากคณะกรรมการเพื่อการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับคำกล่าวอ้างว่ามีอำนาจพิเศษ หรือ CSICOP ซึ่งได้ทำการทดสอบบุคคลที่อ้างว่าตนมีพลังพิเศษมากว่า 30 ปีและเคยบั่นทอนความน่าเชื่อถือของผู้มีพลังจิตคนดังหลายคนมาแล้ว

นาตาชาต้องเดินทางไกลมาถึงนิวยอร์ก เพื่อทดสอบตามที่ นักจิตวิทยา ริชาร์ด ไลส์แมน และเรย์ ไฮแมน จัดเตรียมไว้ ซึ่งแบ่งเป็นการทดสอบด้วยวิธีการวินิจฉัยโรคตามปกติของเธอ และการทดสอบด้วยข้อกำหนดที่พวกเขาวางไว้

 

การทดสอบขั้นแรกนาตาชาสามารถผ่านมันไปได้อย่างดี เพราะเธอสามารถตรวจอาการผู้ป่วย 6 คนได้เหมือนกับตอนที่อยู่ในซารันสค์ จนทำให้ชาวนิวยอร์ก 5 จาก 6 คนประทับใจในการวินิจฉัยโรคของเธอ แต่บรรดานักวิทยาศาสตร์ก็ยังมีข้อขัดแย้ง


ริชาร์ด ไลส์แมน กล่าวว่า สิ่งที่น่าสนใจก็คือก่อนที่เราจะให้นาตาชาดูอาการของพวกเขา พวกเขาได้บอกอาการผิดปกติที่ไม่เหมือนกับสิ่งที่นาตาชามองเห็นระหว่างที่เธอตรวจ เธอบอกความผิดปกติของคนเหล่านี้ถูกเพียงแค่ 1 คน ส่วนคนอื่นเธอไม่ได้บอกเลยว่าเขาผิดปกติตรงไหน แต่พวกเขาก็ยังประทับใจ ผมสงสัยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องทางจิตวิทยา และมีคำอธิบายในเชิงจิตวิทยา


ความไม่เชื่อนั้นทำให้นาตาชาต้องเข้าทดสอบในขั้นตอนต่อไป ท่ามกลางความเชื่อของนักวิทยาศาสตร์ที่ว่า นาตาชาไม่ได้มีสายตาเอกซเรย์จริง แต่ได้รับข้อมูลมาจากสิ่งที่ผู้ป่วยพูดและตอบสนองเธอต่างหาก ดังนั้นการทดสอบขั้นที่สองนาตาชาจึงไม่มีแม้โอกาสจะพูดคุยกับคนไข้ เธอทำได้เพียงการนั่งมองเขานิ่ง ๆ ที่เก้าอี้เท่านั้น โดยจำกัดให้นาตาชาวินิจฉัยอาการเพียง 1 อย่างต่อผู้ป่วย 1 คน



คน 7 คนที่มีเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นคนปกติถูกต้อนเข้าไปในห้องทำการทดสอบ โดยนาตาชารู้ว่ามีโรคอะไรที่คนเหล่านั้นเป็นบ้าง เธอเพียงทำหน้าที่ระบุโรคให้ตรงกับแต่ละคนเท่านั้น โดยหากนาตาชาสามารถทายถูก 5 ใน 7 พวกเขาก็จะยอมรับพลังพิเศษของเธอ

แต่ดูเหมือนว่าพลังพิเศษจะไม่ช่วยให้นาตาชาไปตลอดรอดฝั่ง เพราะเธอทายถูกเพียง 4 จากทั้งหมด 7 คน ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่สูงทีเดียว แต่นั่นไม่ใช่จำนวนที่บรรดานักวิทยาศาสตร์ต้องการ โดยเฉพาะกรณีที่ว่านาตาชาไม่สามารถบอกได้ว่าคนไหนคือคนที่มีแผ่นโลหะอยู่ในศีรษะ



CSICOP สรุปว่าความสามารถพิเศษของนาตาชาที่จริงเป็นเพียงพลังของการโน้มน้าวใจ แต่สำหรับผู้คนในซารันสค์และรัสเซียที่รู้เรื่องการรักษาของเธอ พวกเขายังเชื่อมั่นในความสามารถพิเศษที่ว่า


ผลการทดสอบอาจไม่สามารถเปลี่ยนชีวิตของนาตาชา แต่สิ่งที่เข้ามาทำให้ชีวิตเธอพลิกผันก็คือ การตอบรับเธอเข้าศึกษาในวิทยาลัยการแพทย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของกรุงมอสโก การพลิกผันที่มาจากการแสวงหาโอกาสนั้นด้วยตัวเธอเองกับการได้รับเหรียญทองสำหรับคะแนนดีเด่นของมอร์โดเวีย

Credit: นสพ.เดลินิวส์ และ http://artsmen.net
22 มี.ค. 53 เวลา 20:57 3,064 12 1,888
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...