ศาลอินเดียตัดสินให้ 4 ชายฉกรรจ์ที่ก่อเหตุรุมโทรมนักศึกษาหญิงบนรถเมล์ในกรุงนิวเดลีเมื่อปลายปีที่แล้ว มีความผิดในฐานข่มขืนและฆาตกรรม พร้อมเตรียมพิพากษาโทษในวันที่ 11 กันยายนนี้

            วันที่ 10 กันยายน 2556 สำนักข่าวเอพี มีรายงานว่า ศาลอินเดียตัดสินให้ 4 ชายฉกรรจ์ที่ก่อเหตุรุมโทรมนักศึกษาหญิงบนรถเมล์ในกรุงนิวเดลีเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว มีความผิดในฐานข่มขืนและฆาตกรรม ขณะที่ศาลจะพิจารณาบทลงโทษที่เหมาะสมในวันที่ 11 กันยายนนี้ ซึ่งมีแนวโน้มว่าทั้ง 4 คนจะต้องเผชิญกับโทษประหารชีวิต

            สำหรับบรรยากาศภายในห้องพิจารณาดี ในช่วงเวลาที่ผู้พิพากษา โยเกซ คันนา ได้อ่านคำตัดสินว่าผู้ต้องหาทั้ง 4 มีความผิดฐานข่มขืนและฆาตกรรมเหยื่อที่ไม่มีทางสู้นั้น ครอบครัวของเหยื่อนักศึกษาหญิงถึงกับหลั่งน้ำตา เมื่อในที่สุดคดีสุดสะเทือนขวัญที่กินเวลายาวนานนี้ก็ปิดฉากลงได้ โดยที่ผู้กระทำผิดจะได้รับการลงทัณฑ์

            ขณะที่ด้านนอกศาล กลุ่มผู้ประท้วงหลายสิบคนได้มารวมตัวกัน พร้อมชูป้ายและตะโกนโห่ร้องให้ศาลพิพากษาโทษแขวนคอชายฉกรรจ์ทั้ง 4 คน โดย ราเฟีย พาทาเนีย นักศึกษาหญิงจากโรงเรียนกฎหมายได้เผยว่า ผู้หญิงอินเดียในทุก ๆ วัยล้วนแต่ต้องพบกับประสบการณ์เกี่ยวกับการล่วงละเมิดหรือถูกข่มขืน พวกเธอจึงรู้สึกไม่ปลอดภัย และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้พวกเธอมารวมตัวกัน เพราะทุกคนต้องการให้กรณีนี้เป็นกรณีตัวอย่างสำหรับการกระทำผิดในคดีทางเพศอื่น ๆ ที่จะถูกยื่นฟ้องหลังจากนี้

            ย้อนกลับไปเมื่อเดือนธันวาคม 2555 ชายฉกรรจ์ทั้ง 4 รายนี้ พร้อมผู้ต้องสงสัย 1 ราย ที่แขวนคอตายในคุก และเยาวชนที่ถูกตัดสินโทษไปเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ได้ก่อเหตุที่สร้างความสะเทือนขวัญแก่คนทั้งอินเดีย ด้วยการใช้รถเมล์ที่อยู่นอกเวลาทำการมาหลอกให้นักศึกษาสาววัย 23 ปี และแฟนหนุ่มของเธอขึ้นมาใช้บริการ ก่อนจะทำร้ายชายหนุ่มและรุมโทรมนักศึกษาหญิง พร้อมทั้งใช้แท่นเหล็กเสียบแท่งที่อวัยวะเพศของเธออีกหลายครั้งจนทำให้เธอได้รับบาดเจ็บภายในอย่างสาหัส เป็นผลให้หญิงสาวเสียชีวิตลงในอีก 2 สัปดาห์ต่อมา

            และจากการที่ประชาชนลุกขึ้นมาประท้วงผสานกับแรงกดดันทางการเมือง เป็นผลให้รัฐบาลอินเดียจำต้องเร่งปฏิรูปกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงทางเพศ และดำเนินคดีรุมโทรมนี้อย่างรวดเร็ว โดยใช้เวลาเพียง 7 เดือนเท่านั้น ซึ่งนับว่ารวดเร็วมากแล้วเมื่อเทียบกับกระบวนการยุติธรรมของอินเดียที่แสนจะล่าช้า ที่ตามปกติจะต้องใช้เวลาในการติดตามคดีนานถึง 10 ปี