แปรงสีฟันเก่า อันตราย!!!

  รู้ไหมว่า แปรงสีฟันที่เราใช้กันอยู่ทุกวัน หากใช้ไปนาน ๆ ไม่ยอมเปลี่ยนสักที อันตรายถามหาแน่นอนค่ะ

โดย เจมส์ ซอง นักชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิล สหรัฐอเมริกา ได้ออกมาเตือนว่า แปรงสีฟันที่ใช้นานเกินไป อาจเป็นหนึ่งในวัตถุอันตรายของบ้านได้อย่างไม่น่าเชื่อ และยังทำให้เกิดปัญหาร้ายแรงต่อสุขภาพตามมา เพราะมันสามารถทำให้เกิดโรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง โรคไขข้อ และการติดเชื้อเรื้อรัง ซึ่งมีสาเหตุเกี่ยวข้องกับการใช้แปรงสีฟันที่ไม่ถูกสุขอนามัยด้วย

นั่นก็เพราะแปรงสีฟันที่ใช้นาน ๆ แล้ว จะเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียหลายชนิด และมันสามารถเข้าสู่กระแสเลือดของผู้ใช้ผ่านแผลที่เหงือกได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ แบคทีเรียเหล่านี้ยังอาจเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อต่าง ๆ รวมทั้งการอุดตันของเส้นเลือดด้วย

สอดคล้องกับงานวิจัยของมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ที่ระบุว่า พบเชื้อโรคนับสิบล้านตัวในแปรงสฟันทั่ว ๆ ไป และในจำนวนนี้เป็นเชื้อแบคทีเรียที่สามารถทำให้มนุษย์ถึงตายได้ด้วย เช่น สเตรปโตคอกคัส ฯลฯ ขณะที่สมาคมทันตแพทย์อังกฤษ ก็ออกมาเตือนด้วยว่า ความน่ากลัวจะยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก หากใช้แปรงสีฟันร่วมกับคนอื่น

ขณะที่ ดร.ทาริก ไอดริส ผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรมตกแต่งจากฮาร์เลย์ สตรีท ยังเสริมข้อมูลด้วยว่า เคยตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ บี ซี ในแปรงสีฟัน แถมแปรงสีฟันที่เปียกชื้น ก็ยังเป็นแหล่งสะสมแบคทีเรียชั้นดีด้วย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่จะบอกว่า "แปรงสีฟัน" คือวัตถุอันตรายในบ้าน และอีก 10-15 ปีข้างหน้า เราอาจเห็นการฆ่าเชื้อแปรงสีฟันเป็นเรื่องปกติ หรือต่อไปเราอาจจะต้องเปลี่ยนไปใช้แปรงสีฟันแบบใช้แล้วทิ้งก็เป็นได้

 เห็นข้อมูลดังนี้ หลายคนอาจกลัว เลยประชดไม่แปรงฟันเสียเลยดีไหม อย่างนี้ไม่ดีแน่ค่ะ เราจึงมีคำแนะนำในการทำความสะอาดแปรงสีฟันมาบอก ดังนี้

-           เปลี่ยนแปรงสีฟันอย่างน้อยทุก ๆ 3 เดือน

-           อย่าใช้แปรงสีฟันร่วมกับผู้อื่น

-           ลองขอคำแนะนำในการใช้แปรง และแปรงฟันให้ถูกวิธี จากทันตแพทย์

-           อย่าใช้แปรงที่มีขนแปรงแข็งเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดแผลที่เหงือก และทำให้แบคทีเรียเข้าสู่กระแสเลือดได้ง่าย

-           ถ้าเก็บแปรงสีฟันไว้ในห้องน้ำ ควรเก็บในปลอกให้เรียบร้อย ไม่ควรวางทิ้งไว้ หรือเสียบใส่ในแก้วน้ำเฉย ๆ

-           ใช้น้ำร้อนทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคให้แปรงสีฟันบ้าง และน้ำร้อนยังทำให้ขนแปรงที่แข็งอ่อนนุ่มลงด้วย

Credit: http://www.goosiam.com/Health/html/0008745.html
10 ก.ย. 56 เวลา 10:38 2,268 60
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...