เหตุการณ์ข้างพระแท่นบรรทมในขณะที่รัชกาลที่5สิ้นลมพระหทัย

 

 

 

เหตุการณ์ข้างพระแท่นบรรทมในขณะที่รัชกาลที่5สิ้นลมพระหทัย

 

 

จากภาพ
หมายเลข1 ภายในพระที่นั่งอัมพรสถานที่ประทับของรัชกาลที่5จวบจนสวรรคต ในภาพเป็นตัวอย่างลักษณะภายในห้องและเฉลียงสำหรับรอเข้าเฝ้าฟังพระอาการของเจ้านายฝ่ายในและพระสนมเจ้าจอม
หมายเลข2พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
หมายเลข3สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี
หมายเลข4สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา
หมายเลข5พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี

 

ดังที่ทราบว่าพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่5ทรงพระประชวรเรื่อยมาจนกระทั่งพระอาการมิสู้ดีนัก เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆถึงกับหายพระทัยดังยาวๆ และหายพระทัยทางพระโอษฐ์(ทางปาก)แรงๆ สังเกตดูพระเนตรไม่จับใครเสียแล้ว ลืมพระเนตรคว้างอยู่อย่างนั้นเอง แต่พระกรรณยังได้ยิน สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาฯ ทรงกราบทูลว่า “ทรงเสวยน้ำยังเพคะ”พระเจ้าอยู่หัวก็ยังทรงพยักหน้ารับได้ และกราบทูลต่อว่า”จะถวายพระโอสถแก้พระศอแห้ง ของพระองค์เจ้าสายฯเพคะ”พระเจ้าอยู่หัวก็ยังรับสั่งว่า "ฮือ" แล้วพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงยกพระหัตถ์ขวาและซ้าย ที่สั่นขึ้นเช็ดน้ำพระเนตรของพระองค์เองคล้ายทรงพระกันแสง แล้วพระนางเจ้าสุขุมาลฯก็ใช้ผ้าขึ้นมาซับน้ำพระเนตรถวาย ส่วนสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาฯทรงประทับอยู่ปลายพระแท่นถวายงานนวดอยู่มิคลาย 
ตั้งแต่เวลานี้ต่อไป หมอฝรั่งนั่งคอยจับชีพจร ตรวจพระอาการผลัดเปลี่ยนกัน จากนั้นการหายพระทัยของพระองค์ก็ค่อยๆเบาลงทุกที พระอาการกระวนกระวายอย่างหนึ่งอย่างใดก็ไม่มีเลย ยังคงบรรทมหลับอยู่อย่างเดิม สักพักหมอจึงทูลกับเจ้านายทุกพระองค์ว่า เสด็จสวรรคตเสียแล้ว

เจ้านายพระราชโอรสพระราชธิดาทั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายในสนมเจ้าจอมที่เฝ้าอยู่ตามเฉลียง บันได พื้นพระที่นั่งต่างก็แย่งกันกรูเข้าไปดูร่างพระบรมศพแล้วก็พากันล้มลงกับพื้นร้องไห้คร่ำครวญอยู่ระงมเซ้งแซ่ และโดยเฉพาะพระราชธิดาที่ทอดกายนอนกรรแสงเป็นลมกันยกใหญ่ ณ เวลานั้นประดุจต้นไม้ใหญ่ที่ถูกลมพายุพัดต้นและกิ่งก้านหักล้นราบ

สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาฯก็ทรงประชวรพระวาโย(เป็นลม)มีอาการชักกระตุกตามมาและหมดสติ หมอต้องรีบถวายยาฉีดจากนั้นพนักงานได้ทูลเชิญขึ้นบนพระเก้าอี้แล้วหามกลับพระตำหนักสวนสี่ฤดู สำหรับสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาก็ทรงพระประชวรพระวาโยล้มลงพระกรรแสงยกใหญ่มิได้สติ ข้าหลวงต้องเชิญขึ้นพระเก้าอี้หามกลับตำหนักสวนหงส์ เห็นจะมีพระนางเจ้าสุขุมาลฯที่ยังทรงคลุมพระสติได้แต่ยังพระกรรแสงนั่งเป็นประธานอยู่ปลายพระแท่นพระบรมศพ เจ้าจอมมารดาชุ่มและพระธิดาทั้งสองฟุบลงกับพื้นร้องไห้เสียงระงม เจ้าจอมเอิบคนโปรดมาอยู่ข้างพระแท่นเบื้องขวาของพระบรมศพ พระอรรคชายาเธอพระองค์เจ้าสายสวลี ก็ทรงพระกรรแสงประทับราบเกาะพระแท่นจับพระหัตพระเจ้าอยู่หัวโดยตลอด 

ในเวลานั้น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระภาณุพันธุฯเชิญเสด็จสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ให้เสด็จกลับลงไปชั้นล่าง ประทับห้องแป๊ะต๋ง พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้าโดยมีเสนาบดีผู้ใหญ่ องคมนตรีข้าราชการผู้ใหญ่ ผู้น้อย 
รอเฝ้ารับเสด็จอยู่ ณ ที่นั้น จากนั้นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ากรมพระภาณุพันธุฯ ทรงคุกพระชงฆ์(คุกเข้า)ลงกราบถวายบังคมแทบพระบาทสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ อัญเชิญ ขึ้นเถลิงวัลยราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ต่อไป 

เช้าวันต่อมา สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาฯ หายจากพระอาการประพระวาโยแล้วเสด็จพระราชดำเนินมาประทับเป็นประธานในการถวายน้ำสรงพระบรมศพเป็นส่วนฝ่ายใน

ขอขอบคุณที่มาจาก หนังสือประวัติต้นรัชกาลที่6,บทสัมภาษณ์หม่อมเจ้าจงจิตรถนอมดิสกุล,คำบอกเล่าในเหตุการจากหม่อมศรีพรหมา 

 

 

 

ย่ำค่ำวันที่ ๒๓ ตุลาคม กระบวนแห่พระบรมศพซึ่งทรงพระยานมาศสามลำคาน เริ่มเคลื่อนจากหน้าพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต โดยมีทหารบกยิงปืนใหญ่นาทีละนัด จนกระบวนถึงพระบรมมหาราชวัง ระหว่างอัญเชิญพระบรมศพนั้นฝนตกลงมาตลอด 

 

"... พวกราษฎรเอาเสื่อไปปูนั่งกินเป็นแถวตลอดสองข้างทาง จะหาหน้าใครที่มีแม้แต่ยิ้มก็ไม่มีสักผู้เดียว ทุกคนมีแต่เค้าน้ำตาไหลอย่างตกอกตกใจด้วยไม่เคยรู้รส อากาศมืดครึ้ม มีหมอกขาวลงจัดเกือบถึงหัวคนเดินทั่วไป ผู้ใหญ่เขาบอกว่า นี่แหละคือหมอกชุมเกตุ ที่ในตำราเขากล่าวถึงว่า มักจะมีในเวลาที่มีเหตุใหญ่ๆ เกิดขึ้น ไม่ช้าก้ได้ยินเสียงปี่ในกระบวน เสียงเย็นใสจับใจมาแต่ไกลๆ แล้วได้ยินเสียงกลองรับเป็นจังหวะใกล้เข้ามาๆ ในความมืดเงียบสงัด ที่มืดเพราะต้องตัดสายไฟฟ้าบางตอนให้พระบรมโกศผ่านได้ และที่เงียบก็เพราะไม่มีใครพูดจากันว่ากระไร ...... เหลียวไปดูทางอื่นเห็นแต่แสงไฟจากเทียนที่จุดถวานสักการะอยู่ข้างถนนแว้บๆ ไปตลอด ในแสงเทียนนั้น มีแต่หน้าเศร้าๆ หรือปิดหน้าอยู่ เราหมอบลงกราบกับพื้นปฐพี พอเงยหน้าก็เห็นทหารที่ยืนถือปืนเอาปลายลงดิน ก้มหน้าลงบนปืนอยู่ข้างหน้าเราเป็นระยะทางไปตลอด ๒ ข้างถนนนั้น น้ำตาของเขากำลังหยดลงแปะๆ อยู่บนหลังมือของเขาเอง ทหารผู้อยู่ในยูนิฟอร์มอันแสดงว่ากล้าหาญ ยังร้องไห้เพราะเสียดายประมุขอันเลิศของเขา เสด็จพ่อตรัสเล่าว่า ได้โทรเลขไปตามหัวเมืองให้ระวังเหตุการณ์ในตอนเปลี่ยนแผ่นดิน ได้ตอบมาทุกทางว่า ภายใน ๗ วันแต่วันสวรรคตนั้น ไม่มีเหตุการณ์โจรผู้ร้ายเกิดขึ้นเลยสักแห่งเดียวในพระราชอาณาจักร ฉะนั้นจึงจะต้องเข้าใจว่า แม้แต่โจรก็ยังเสียใจหรือตกใจในการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง พระปิยมหาราชของเรา....." 

 

 กระบวนแห่พระบรมศพรัชกาลที่๕ ซึ่งประดิษฐานอยู่บนพระมหาพิไชยราชรถ ประกอบด้วยเครื่องสูงเต็มยศ กระบวนแห่ ๔ สาย(นำภาพมาจากหนังสือ ศิลปวัฒนธรรม ตุลาคม ๒๕๓๔) 

 

พระมหาพิไชยราชรถ ซึ่งใช้ประดิษฐานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

 

กระบวนแห่พระบรมศพผ่านหน้ากระทรวงกลาโหม ในรูปจะเห็นศาลหลักเมืองเก่าด้วย 

 

 

อัญเชิญพระบรมศพลงจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบรมโกศประดิษฐานอยู่บนพระยานมาศ สมเด็ฯเจ้าฟ้ากรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย ทรงประคองพระโกศอยู่ด้านหน้า สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม ทรงประคองด้านหลัง 

 

กระบวนแห่พระบรมอัฐิและพระบรมราชสรีรังคาร 

 

กระบวนแห่พระบรมอัฐิ 

 

กระบวนแห่พระบรมอัฐิกำลังเลี้ยวเข้าพระบรมมหาราชวัง 

 

 

ที่มา: คลังประวัติศาสตร์ไทย

ขอบคุณภาพจาก http://www.vcharkarn.com/my/7743/cafe
Credit: คลังประวัติศาสตร์ไทย
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...