โรงเรียนราชินี เป็นโรงเรียนเก่าแก่แห่งหนึ่ง ตั้งอยู่เลขที่ 444 ถนนมหาราช แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ริมฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ผู้ทรงให้กำเนิดโรงเรียนคือ สมเด็จพระศรีพัชรินทรา พระบรมราชินีนาถในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2447 ณ ตึกแถวมุมถนนอัษฎางค์และถนนจักรเพชร ต่อมาได้ย้ายไปอยู่ตึกริมแม่น้ำเจ้าพระยาใกล้ปากคลองตลาด และมีการเปิดรับนักเรียนกินนอนขึ้นใน พ.ศ. 2448 และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ได้ขอพระราชทานย้ายโรงเรียนมาอยู่ ณ ตึกสุนันทาลัย จนถึงปัจจุบัน
ผังตึกสุนันทาลัยเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนานไปกับแม่น้ำเจ้าพระยา โดยด้านหน้าหันออกสู่แม่น้ำ ส่วนด้านหลังหันออกสู่ถนนมหาราช มีมุขยื่นออกมา จึงดูคล้ายรูปกากบาท ทางขึ้นชั้นบนอยู่ภายนอกอาคาร อยู่ตรงกับทางเดินด้านหน้า โครงสร้างเป็นกำแพงรับน้ำหนัก หลังคาทรงปั้นหยา มุงกระเบื้องไม่มีกันสาด มีทางเดินโดยรอบทำหน้าที่เป็นกันสาด ในตัวทางเดินด้านหน้ามีผนังเจาะโค้งรูปครึ่งวงกลม มีช่องแสงรูปครึ่งวงกลมเหนือประตูภายใน ประดับด้วยกระจกสีลวดลายงดงาม
ตึกสุนันทาลัย เป็นอาคารที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นอนุสรณ์สถาน แสดงความอาลัยรักถึงพระมเหสี สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี ซึ่งเสด็จทิวงคตด้วยอุบัติเหตุเรือพระที่นั่งล่ม เมื่อ พ.ศ. 2423 ต่อมาได้พระราชทานให้เป็นที่ตั้งโรงเรียนสตรีสุนันทาลัย เป็นโรงเรียนสตรีแห่งแรกในประเทศไทย เป็นที่ตั้งของโรงเรียนสวนกุหลาบอังกฤษสุนันทาลัย และเป็นที่ตั้งของโรงเรียนราชินีในเวลาต่อมา
ตึกสุนันทาลัย ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่นจากสมาคมสถาปนิกสยาม ประจำปี พ.ศ. 2525
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2548 เกิดเหตุเพลงไหม้ชั้นบนของตึกสุนันทาลัย โครงหลังคาและฝ้าเพดานชั้นสองซึ่งเป็นไม้เสียหายทั้งหมด เนื่องจากความสะเพร่าของผู้รับเหมาซ่อมแซมอาคาร ราชินีมูลนิธิ ซึ่งเป็นผู้ดูแลอาคาร ได้มีมติที่จะบูรณะตึกสุนันทาลัยให้มีลักษณะใกล้เคียงกับอาคารเดิมตั้งแต่แรกสร้าง โดยการเสริมความแข็งแรงของอาคารเดิม และก่อสร้างหลังคาโดม และดวงโคมบนยอดตึก รวมถึงบันไดโค้งจากด้านข้างของหน้ามุขทอดตัวลงสู่ด้านหน้า สร้างด้วยหินอ่อน ตามแบบดั้งเดิม นอกจากนี้ยังมีการยกตัวอาคารที่ทรุดไปตามกาลเวลาขึ้นอีก1.5เมตร [5]
เพลงประจำโรงเรียนเพลงประจำโรงเรียนราชินีนั้นมีทั้งหมดจำนวน 3 เพลง คือ เพลงราชินีเป็นที่รัก (ไทยเดิม) เพลงพิกุลแก้ว และ เพลงเทิดพระเกียรติสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ
ซึ่งในตอนแรกนั้น เพลงพิกุลแก้วเป็นเพียงบทกลอนซึ่งหม่อมเจ้าพิจิตรจิราภา เทวกุลทรงประพันธ์โดยลายพระหัตถ์ให้นักเรียนซึ่งสำเร็จการศึกษา แต่ต่อมาได้มีการใส่ทำนองเข้าไปแล้วใช้เป็นเพลงประจำโรงเรียน แต่เนื่องจากเป็นลาบพระหัตถ์ซึ่งค่อนข้างอ่านยาก จึงมีการเข้าใจว่าทรงประพันธ์วรรคแรกของบทที่สองว่า "เมื่อถึงคราวชรา" ซึ่งในหนังสือรุ่นหรือบันทึกเนื้อเพลงก็จะเขียนไว้เช่นนั้น แต่เมื่อไม่กี่ปีมานี้มีการตรวจสอบอีกทีจึงทราบว่าทรงประพันธ์ไว้ว่า "แม้ว่าถึงคราวชรา" และสำหรับนักเรียนราชินีแล้วเพลงนี้จะเป็นเพลงที่ผูกพันมากที่สุด
สีประจำโรงเรียนสีประจำโรงเรียนนั้นคือสีน้ำเงินและสีชมพู ซึ่งสีน้ำเงินนั้นเป็นสีประจำวันพระราชสมภพของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระพันปีหลวง และ สีชมพู หมายถึงสีประจำวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
อักษรย่อตัวอักษรย่อของโรงเรียนราชินีนั้นคือ ส.ผ. ซึ่งมาจากพระนามเดิมของ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระพันปีหลวง คือ "เสาวภาผ่องศรี" ซึ่งจะปักด้วยไหมสีขาวไว้ที่กระเป๋าเสื้อด้านซ้าย(ตรงหัวใจ)ของนักเรียนทุกคน
ดอกไม้ประจำโรงเรียนดอกไม้ประจำโรงเรียนราชินีคือดอกพิกุล ซึ่งดอกพิกุลนั้นแม้จะร่วงหล่นจากต้นผิแห้งไปแล้วแต่ยังคงไว้ซึ่งกลิ่นหอม ซึ่งเป็นการสอนนักเรียนราชินีให้ประพฤติตนเองให้ดีดั่งดอกพิกุลไม่ว่าจะแก่ชราก็ขอให้คงความดีเอาไว้
ส่วนที่เรียกว่าพิกุลแก้วนั้น เพราะแต่เดิมโรงเรียนราชินีเป็นโรงเรียนในวังเป็นการเรียกให้สอดคล้องกับสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับกษัตริย์ ตัวอย่างเช่น นางของกษัตริย์ก็จะเรียกว่านางแก้ว ช้างของกษัตริย์ก็จะเรียกจะช้างแก้ว
คำปฏิญาณตนทุกวันหลังจากสิ้นสุดการเคารพธงชาติแล้วนักเรียนราชินีทุกคนจะกล่าวคำปฏิญาณตนดังนี้
" พวกเราเป็นไทยอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ ก็เพราะเรามีชาติ มีศาสนา พระมหากษัตริย์
ซึ่งบรรพบุรุษของเรา เอาเลือด เอาเนื้อ เอาชีวิต และความลำบากยากเข็ญเข้าแลกไว้
เราต้องสละชีพเพื่อชาติ เราต้องบำรุงศาสนา เราต้องรักษาพระมหากษัตริย์
เรานักเรียนจักต้องประพฤติตน อยู่ในระเบียบวินัยของโรงเรียน มีความซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น
เรานักเรียนจักต้องไม่ทำตน ให้เป็นที่เดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่น "
ชีวิตภายในรั้วโรงเรียนโรงเรียนราชินีมีการศึกษาตั้งแต่ชั้นอนุบาลศึกษาปีที่ 2 ไปจนถึงระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6
ในระดับอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษานั้นจะมีทั้งนักเรียนหญิงและนักเรียนชาย (ซึ่งจะมีนักเรียนประมาณ 10-20 คน ต่อช่วงชั้น ในช่วงชั้นหนึ่งๆจะมีนักเรียนประมาณ 200-300 คน)
ส่วนในระดับมัธยมเปิดสอนเฉพาะนักเรียนหญิงเท่านั้น
ทุกๆปีจะมีการเลือกตั้งประธานนักเรียนเพื่อส่งเสริมระบอบประชาธิปไตย ซึ่งจะแบ่งเป็นสองส่วนคือ ส่วนประถมศึกษา และส่วนมัธยมศึกษา แบ่งเป็นสี่พรรคคือ
พรรคพิกุลแก้วก้าวหน้า พรรคราชินีสร้างสรรค์ พรรคน้ำเงินชมพูพัฒนา พรรคอาสาราชินีซึ่งทั้งสองส่วนนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นพรรคเดียวกัน จะมีการจัดการหาเสียงและอภิปรายเสนอนโยบายต่างๆ เพื่อฝึกฝนนักเรียน
นักเรียนผู้ดี ระดับชั้นอนุบาล ครูประจำชั้นจะมอบดาวเด็กดีซึ่งมีเจ็ดสีและเจ็ดความหมายให้กับนักเรียนที่มีคุณสมบัติ [6] ดาวสีแดง เป็นนักเรียนที่มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ ดาวสีเหลือง เป็นนักเรียนที่มีความสามารถคิดรวบยอด คิดแก้ปัญหา และคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ดาวสีชมพู เป็นนักเรียนที่มีความสนใจใฝ่รู้ รักการอ่าน และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ดาวสีเขียว เป็นนักเรียนที่มีสุขนิสัย สุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี ดาวสีแสด เป็นนักเรียนที่มีความรู้ และทักษะพื้นฐานตามพัฒนาการทุกด้าน ดาวสีฟ้า เป็นนักเรียนที่มีความสามารถทำงานจนสำเร็จ ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ ดาวสีม่วง เป็นนักเรียนที่มีสุนทรียภาพ และลักษณะนิสัยด้านศิลปะ ดนตรี และ การเคลื่อนไหว ระดับชั้นประถมฯ ขึ้นไปจะมีการเลือกโดยเพื่อนนักเรียนและคุณครูถึงนักเรียนที่มีคุณสมบัติตามหัวข้อ เช่น ตรงต่อเวลา ไหว้สวยงาม วาจาไพเราะจะมีการมอบเกียรติบัตรกุหลาบแดงให้กับนักเรียนที่มีความประพฤติดี สองคนต่อห้องทุกๆปี โดยสังเกตจากความดีที่ได้บันทึกลงในสมุดความดีเป็นสำคัญ
ยุวกาชาดโรงเรียนราชินีเป็นโรงเรียนแรกที่ได้จัดการเรียนการสอนวิชายุวกาชาดขึ้น และดำรงมาจนถึงทุกวันนี้ โดยจะเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 แต่จะมีการสวมเครื่องแบบเมื่อชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เป็นต้นไป และจะมีการจัดค่าย (จัดครั้งแรกชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ต่อไปก็จะเป็น ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3) ซึ่งจะมีการจัดค่ายที่ "ค่ายสุทธสิริโสภา" ตั้งอยู่ที่เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา
โรงเรียนราชินีบน
ประวัติ
โรงเรียนราชินีบนเดิมมีนามว่า โรงเรียนศรีจิตรสง่า อยู่ในความอุปถัมภ์ของหม่อมเจ้าหญิงพิจิตรจิราภา เทวกุล พ.ศ. 2450 ได้รับพระมหากรุณาธิคุณใน สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวงในรัชกาลที่ 6 ให้ดำรงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่โรงเรียนราชินี ด้วยน้ำพระทัยใฝ่ค้นคว้า และพระอุสาหะวิริยะที่จะสร้างความสามารถในการบริหารโรงเรียน เพื่อที่จะได้สามารถรับราชการสนองพระมหากรุณาธิคุณได้ดียิ่งขึ้น จึงได้ทรงเสียพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จัดตั้งโรงเรียนสตรีขึ้น ที่ตึกถนนอัษฎางค์ เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2454 เปิดสอนตั้งแต่ชั้นเด็กเล็กจนถึงมัธยมปีที่ 3 ให้ชื่อว่า “ โรงเรียนศรีจิตรสง่า ” ด้วยวิธีร่วมทุน
พ.ศ. 2465 โรงเรียนย้ายมาเปิดสอนที่ตึกของพระยามหิบาล ถนนสามเสนแขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร บริเวณแยกบางกระบือและโรงไฟฟ้าสามเสน (สถานที่ปัจจุบัน)เมื่อตั้งอยู่ที่นี่ได้ 3 ปี ได้ขยายการสอนสูงขึ้นตามลำดับจนถึงชั้นมัธยมปีที่ 6
พ.ศ. 2469 สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธรทรงพระศรัทธาบริจาคทุนทรัพย์อุดหนุนการศึกษาเป็นจำนวนมากโปรดให้จัดซื้อที่ดิน บ้านพระยามหิบาลจำนวน 2 ไร่ 75 ตารางวา กับขอพระราชทานที่ดินของสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ตรงริมถนนเขียวไข่กา มาสมทบ ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวถมคูที่คั่นอยู่ตรงกลางนั้นเสีย จึงถมเนื้อที่ติดต่อกันรวม 4 ไร่ 1 งาน 97 ตารางวา โปรดให้กองช่างสุขาภิบาลอำนวยการสร้างสถานที่ศึกษาสำหรับสตรี ณ ที่แห่งนี้ ประทานเครื่องเรือนพร้อมเสร็จ โดยทรงสั่งทำที่โรงเรียนเพาะช่างทรงพระดำริว่านักเรียนชั้นมัธยม 7 และ 8 ของโรงเรียนราชินีที่ถนนมหาราช เป็นชั้นสูง ซึ่งจวนสำเร็จการเรียนอยู่แล้วควรจะให้คุ้นเคยกับสถานที่อันถูกต้องตามแบบสุขาภิบาลบ้าง เมื่อออกไปอยู่บ้านจะได้รู้จักแต่งบ้าน และรักษาสุขาภิบาล และอนามัยเป็นอันดี ทรงปรึกษาหม่อมเจ้าหญิงพิจิตรจิราภา เทวกุล ท่านอาจารย์ใหญ่โรงเรียนราชินี ซึ่งท่านทรงเห็นด้วยและตัดสินพระทัยยุบโรงเรียนศรีจิตสง่า สมเด็จพระปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร ทรงพระกรุณาโปรดให้รับนักเรียนที่เคยเรียนที่โรงเรียนศรีจิตสง่านี้เข้าเรียนต่อไปในโรงเรียนใหม่นี้ จึงเป็นอันว่าโรงเรียนใหม่นี้รับนักเรียนตั้งแต่ชั้นมัธยมปีที่ 3 ขึ้นไป โปรดให้นักเรียนราชินีที่จบชั้นมัธยมปีที่ 6 มาเรียนชั้นมัธยม 7 – 8 ต่อ ณ โรงเรียนราชินีบนนี้ ตั้งแต่ พ.ศ. 2472 เป็นต้นไป สมเด็จพระราชปิตุจฉาเจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร ประทานนาม โรงเรียนว่า “ โรงเรียนราชินีบน ” เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ดังแจ้งในแผ่นจารึกหน้าตึกพิจิตรจิราภาว่าสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เป็นองค์แรกที่ทอดพระเนตรเห็นความสำคัญของการศึกษาแห่งสตรี ซึ่งจะเป็นมารดาและบุพพาจารย์สืบต่อไปในภายหน้า ได้ทรงสละพระราชทรัพย์เป็นอเนกประการ เพื่อพระราชทานการศึกษาแก่สตรี เริ่มตั้งแต่ พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตลอดจนกุลสตรีทั่วไป
สมเด็จเจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพ็ชรบุรีราชสิรินธรเป็นพระองค์หนึ่งที่ได้รับพระมหากรุณา จึงทรงสร้าง โรงเรียนราชินีบน แห่งนี้ขึ้นไว้เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระพันปีหลวงพระองค์นั้น สมเด็จพระปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร โปรดให้ทำแผ่นศิลาจารึกคำเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชชนนีพันปีหลวงในรัชกาลที่ 6 ตอกไว้กับตึกแรก ที่ทรงสร้างในโรงเรียนราชินีบน
นอกจากนี้ยังได้ทรงสร้างห้องแถวไม้ไว้เก็บผลประโยชน์ไว้บำรุงโรงเรียนทุกปี ขณะที่ยังดำรงพระชนม์อยู่ก็จะประทานเงินสำหรับใช้สอยประจำตลอดมา นอกจากนี้ยังได้พระราชทานวังสุคันธาวาสที่ตั้งอยู่ ถนนวิทยุ ให้แก่โรงเรียนราชินีบน
โรงเรียนราชินีบน ได้เปิดทำการสอนเมื่อวันทื่ 17 พฤษภาคม 2472 มีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช ( วัดเบญจมบพิตร ) ขณะนั้นเป็นพระเทพมุนีเป็นประธานประกอบพิธีสงฆ์ พระวรวงศ์เธอพระองค์หญิง สุทธสิริโสภา เสด็จแทนพระองค์ สมเด็จพระราชปิตุจฉาฯ ทรงทำพิธีเปิดป้ายนามโรงเรียน เมื่อแรกเปิด มีนักเรียน 63 คน ตึกเรียนหลังแรกเป็นตึกสีครีม ปีกหนึ่งเป็นสองชั้น อีกปีกหนึ่งเป็นชั้นเดียว ชั้นบนสำหรับนักเรียนประจำ ส่วนชั้นล่างเป็นห้องเรียน ปัจจุบันเรียกตึกนี้ว่า ตึกพิจิตรจิราภา
โรงเรียนราชินีบน สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ด้วยพระกรุณาของสมเด็จเจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพ็ชรบุรีราชสิรินธร ทรงสร้างห้องแถวไว้เพื่อเก็บผลประโยชน์ ตั้งทุนไว้บำรุงโรงเรียน และได้ประทานสิ่งของตลอดจนเงินค่าใช้จ่ายให้กับโรงเรียน
โรงเรียนได้สร้างอาคารเรียนเพิ่มเติมขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับจำนวนนัเรียนที่เพิ่มมากขึ้น
พ.ศ. 2508 ได้ขยายตึกเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ถึง มัธยมศึกษาปีที่ 3 เรียนที่ตึก 4 ชั้น ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตึก 3 ชั้น เป็นตึกประถมและอนุบาล
พ.ศ. 2510 เปิดประมูลการก่อสร้างตึกเรียนวิทยาศาสตร์ และ ห้องอาหาร
พ.ศ. 2526 เปิดตึกใหม่ซึ่งใช้เป็นห้องเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมปีที่ 4 ห้องโสตทัศนูปกรณ์ ห้องปฏิบัติการทางภาษา ห้องวิดีโอ ใต้ตึกเป็นที่รับประทานอาหารของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายและห้องโภชนาการ
พ.ศ. 2537 โรงเรียนได้สร้างอาคารเพิ่มเติม เพื่อให้เพียงพอกับจำนวนนักเรียนที่เพิ่มมากขึ้น โดยรื้อห้องแถวฝั่งตรงข้ามถนนเขียวไข่กา จัดสร้างเป็นตึกอนุบาลและที่พักนักเรียนประจำ สระว่ายน้ำ โรงยิม และสโมสร
ปัจจุบันโรงเรียนเปิดสอนตั้งแต่ระดับอนุบาล 2 ถึง มัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวนห้องเรียนทั้งสิ้น 67 ห้อง เป็นอนุบาล ถึง มัธยม 3 ชั้นละ 5 ห้องเรียน และ มัธยม 4 ถึง มัธยม 6 ชั้นละ 5 ห้องเรียน (อาจมีห้อง6เมื่อเด็กเยอะ