ญี่ปุ่นนับเป็นประเทศหนึ่งที่มีสถานที่เก่าแก่มากมาย มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน หนึ่งในนั้นก็คือ "ปราสาท" ซึ่งมีอยู่มากมาย ทีมงาน toptenthailand เลยอยากจะเสนอ 10 อันดับปราสาทที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น จะมีปราสาทในดวงใจของท่านไหมเชิญชมได้เลย
เครดิต :
แหล่งที่มา : เรียบเรียงโดย : ทีมงาน www.marumura.com
ปราสาทบิทชู-มัทสึยามะ (Bitchu-Matsuyama Castle) เป็นปราสาทขนาดไม่ใหญ่มากนัก ตั้งอยู่ในจังหวัดโอคายามะ (Okayama Prefecture) สร้างขึ้นในปี 1240 เนื่องจากตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองโอคายามะเท่าไรนัก จึงสะดวกสบายในการไปเที่ยวชม เดินทางมาด้วยรถไฟด่วนชิงกันเซนก็ยังได้ ใกล้แหล่งช้อปปิ้ง และมีร้านอาหารตั้งอยู่ใกล้เคียงมากมาย
ปราสาทมารุโอคะ (Maruoka Castle) ตั้งอยู่ในจังหวัดฟุกุอิ (Fukui Prefecture) จังหวัดที่อยู่ติดกับทะเลญี่ปุ่น ทางภาคกลางของเกาะฮอนชู เชื่อว่าถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี 1576 โดยซามูไรชั้นสูงนาม Shibata Katsutoyo และในปี 1948 ก็ถูกแผ่นดินไหวพังทลายแทบไม่เหลือซาก แต่ก็ถูกสร้างขึ้นใหม่ใน 7 ปีต่อมา เป็นอีกหนึ่งปราสาทที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเลย (ใกล้ Fukui City มากๆ)
ปราสาทโคจิ (Kochi Castle) ตั้งอยู่ในจังหวัดโคจิ (Kochi Prefecture) ทางใต้ของเกาะชิโคขุ สร้างเสร็จในปี 1611 (สมัยที่จังหวัดโคจิยังใช้ชื่อเดิม คือ “โทสะ” อยู่เลย) สร้างขึ้นโดยซามูไรนามว่า Yamanouchi Kazutoyo ในช่วงที่ตระกูล Tokugawa เรืองอำนาจ ปราสาทโคจิถูกไฟไหม้เกือบทั้งหมดในปี 1727 แต่ได้สร้างขึ้นใหม่ใน 25 ปีต่อมา โดยคงสถาปัตยกรรมแบบเดิมไว้ทั้งหมด ปัจจุบันเราจึงยังได้เห็นปราสาทเก่าแก่แห่งนี้ตั้งอยู่อย่างสง่างาม เก่าแก่ แต่สมบูรณ์แบบ น่าไปเที่ยวชมเช่นเดียวกัน
ปราสาทมัทซึเอะ (Matsue Castle) สร้างขึ้นช่วงต้นปี 1600 ภายใต้การสั่งการโดยซามูไรนามว่า Horio Yoshiharu เป็นปราสาท 5 ชั้น สูงประมาณ 98 ฟุต ตั้งอยู่ทางตะวันตกของจังหวัดชิมาเนะ (Shimane Prefecture) ที่นอกจากตัวปราสาทมัทซึเอะ จะเก่าแก่และมีชื่อเสียงแล้ว บริเวณใกล้เคียงอย่างเช่น ทะเลสาบชินจิ (Lake Shinji) สวนสาธารณะมัทซึเอะ (Matsue Vogel Park) รวมถึงการล่องเรือชมวิว (Horikawa Cruise) ก็มีชื่อเสียง ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากมายไม่น้อย
ปราสาทฮิโคเนะ (Hikone Castle) ตั้งอยู่ที่เมืองฮิโคเนะ อยู่ใกล้ ๆ กับทะเลสาบบิวะ (ทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นมีพื้นที่ 3,174 ตารางกิโลเมตร) ในจังหวัดชิงะ ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัดเกียวโต ในอดีตเคยเป็นเมืองปราสาทที่สำคัญเนื่องด้วยทำเลที่เป็นชุมทางสู่ตะวันออก (Tosando) ภายหลังเรียกเป็นทางสู่ภาคกลาง (Nakasendo) และทางสู่ชายฝั่งทะเลเหนือ (Hokkoku Kaido) ปราสาทฮิโคเนะ (Hikone Castle) ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกถือว่าเป็นปราสาทที่งามสง่าอีกแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ประกอบไปด้วยหอคอย 3 ชั้น ซึ่งได้ถูกสร้างขึ้นบนเขาฮิโคเนะ (Mt.Hikone) ในยุคเอโดะ ตั้งแต่ปี ค ศ.1614 เสร็จสมบูรณ์ ในปี ค.ศ.1622 ใช้เวลาบรรจงสร้างถึง 18 ปี จัดเป็นสมบัติแห่งชาติทางประวัติศาสตร์ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก้ด้วย เสน่ห์ของปราสาทนี้ได้ดึงดูดนักท่องเที่ยวมาเยือนเมืองฮิโคเนะ กระทั่งปัจจุบันเมืองนี้กลายเป็นศูนย์กลางการค้า เศรษฐกิจและวัฒนธรรม ทางภาคตะวันออกของจังหวัดชิงะ
ปราสาทอินุยามะ (Inuyama Castle) สร้างขึ้นในปี 1440 (แต่ตัวปราสาทที่เห็นในปัจจุบันสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 1537) โดย Oda Nobuyasu ถือเป็นสิ่งปลูกสร้างอันมีค่าที่ถูกบันทึกให้เป็นสมบัติแห่งชาติด้วย ตั้งอยู่ในเมืองอินุยามะ (Inuyama City) ในจังหวัดไอจิ (Aichi Prefecture) เป็นปราสาทที่ตั้งอยู่บนภูเขาสูง มีทัศนียภาพที่สวยงาม สามารถมองเห็นวิวแม่น้ำคิโซะ (Kiso) ได้อย่างชัดเจน
ปราสาทมัทสึโมโตะ (Matsumoto Castle) ตั้งอยู่ที่เมืองมัทสึโมโตะ ในจังหวัดนางะโนะ สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1593 โดยขุนนางในตระกูลอิชิกาว่า เพื่อใช้เป็นสถานที่หลบภัยและวางแผนการสู้รบ โดยมีกำแพงสูงใหญ่และคูน้ำล้อมรอบปราสาทไว้ ต่อมาป้อมปราสาทได้ถูกกองทัพทาเคดะยึดครองไปได้ และตกเป็นของโทะกุงะวะ อิเอะยะซุ ในเวลาต่อมาปราสาทแห่งนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ปราสาทฟุกาชิ (Fukashi Castle) หรือ ปราสาทอีกา (Crow Castle) เนื่องด้วยผนังของปราสาทที่มีสีดำ และมีอาคารสามชั้นที่ตั้งอยู่ทั้งสองด้านของตัวปราสาทคล้ายเป็นส่วนปีก ปราสาทมัทสึโมโตะจัดเป็นหนึ่งในปราสาทดั้งเดิมของญี่ปุ่น ที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุดมีอายุยาวนานเป็นอันดับ 2 ของประเทศ ตั้งอยู่บนพื้นที่ราบของภูมิภาคจูบุ (ภาคกลาง) อาคารของปราสาทสร้างด้วยไม้ทั้งหลัง แสดงถึงความเก่าแก่ของปราสาทอย่างชัดเจน ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นโบราณสถานแห่งชาติและเป็นสมบัติสำคัญของชาติ ภายในปราสาทแบ่งออกเป็น 6 ชั้น จัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ เครื่องยุทธโทปกรณ์ในสมัยก่อน เมื่อย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ จะยิ่งงามเด่นท่ามกลางดอกซากุระบานเบ่งไปทั่วบริเวณตัวปราสาท
ปราสาทฮิโรซากิ (Hirosaki Castle) ตั้งอยู่ที่เมืองฮิโรซากิ จังหวัดอาโอโมริ ปราสาทแห่งนี้เป็นปราสาทเดียวในพื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น หรือภูมิภาคโทโฮขุ ที่สร้างในยุคเอโดะที่ยังหลงเหลือให้เห็นถึงปัจจุบัน ปราสาทแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1611 แต่ต่อมาเกิดเหตุเพลิงไหม้ในบางส่วน ทำให้ปราสาทไม้แห่งนี้ ซึ่งเดิมมี 5 ชั้น ถูกบูรณะขึ้นมาใหม่เป็นปราสาทไม้ 3 ชั้น ในปี ค.ศ.1810 บริเวณรอบ ๆ ตัวปราสาทล้อมรอบด้วยกำแพงหินและคูน้ำถึง 3 ชั้น ภายในตัวปราสาทมีการจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ในสมัยก่อน ทั้งชุดเกราะนักรบ ที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมของญี่ปุ่นในสมัยก่อน ซึ่งเสน่ห์สวนกลางแจ้งที่สร้างล้อมรอบปราสาทแห่งนี้สวยไม่แพ้อื่นในญี่ปุ่น โดยเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ผลิ (ต้นซากุระ) และช่วงฤดูใบไม้ร่วง ก็ดาดดาไปด้วยพันธุ์ไม้เปลี่ยนสีสวยงามมาก
ปราสาทมารุกาเมะ (Marugame Castle) ตั้งอยู่ในจังหวัดคางาวะ (Kagawa Prefecture) ถือว่าเป็นปราสาทเก่าแก่ที่เล็กที่สุดในทั้ง 10 อันดับนี้ สร้างขึ้นในช่วงปี 1600 โดย Ikoma Chikamasa ผู้ปกครองดินแดนแถบนี้ในสมัยนั้น ตัวปราสาทสีขาวตั้งอยู่บนกำแพงหิน สามารถมองเห็นวิวตัวเมืองมารุกาเมะ และทะเลในเซโตะ (Seto Inland Sea) ได้อย่างชัดเจน
ปราสาทฮิเมะจิ (Himeji Castle) ตั้งอยู่ที่เมืองฮิเมะจิ ในจังหวัดเฮียวโงะ ด้วยลักษณะของตัวปราสาทที่มีสีขาวราวกับหิมะในฤดูหนาว จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ปราสาทนกกระยางขาว” หรือ “ปราสาทนกกระสา” ตัวปราสาทตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำเซ็มบะ ถือเป็นปราสาทที่ใหญ่โตและอัครฐานที่สุดในบรรดาปราสาทที่หลงเหลือมาจากยุคกลางของญี่ปุ่น และถึงแม้ตัวเมืองจะถูกทิ้งระเบิดอย่างหนักในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ตัวปราสาทกลับไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด และได้รับการยกย่องจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกและสมบัติประจำชาติญี่ปุ่นเมื่อเดือนธันวาคม ปี 1993 เดิมที่นี่เคยเป็นแนวปราการมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1333 ส่วนตัวปราสาทนั้นได้ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1580 โดยโตโยะโตมิ ฮิเดโยชิ ซึ่งต่อมาในปี ค.ศ.1681 อิเคดะ เทรุมาสะ บุตรเขยของโชกุนโทกุงาวะ อิเอยะสุ ได้บูรณะและต่อเติมปราสาทออกไปจนมีรูปลักษณ์เช่นในปัจจุบัน และใช้ปราสาทเป็นที่มั่นทางการทหารและศูนย์กลางด้านการบริหารปกครองไปพร้อมกัน การออกแบบปราสาทของเทรุมาสะนับเป็นการรวมเอาการป้องกันทางทหารมาผสมผสานเข้ากับความงามทางด้านศิลปะได้อย่างลงตัว และยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประเทศญี่ปุ่น จุดเด่นของปราสาทอย่างหนึ่งคือ แนวปราการประกอบด้วยคูน้ำ 3 ชั้น ล้อมรอบกำแพงหินสูงโค้งซึ่งคั่นสลับด้วยประตูและเชิงเทินสังเกตการณ์หลายแห่ง ตามผนังกำแพงและเชิงเทินนั้นมีรูเล็ก ๆ สำหรับยิงธนูและกระสุนปืนใส่ข้าศึก ทางเดินสู่อาคารหลักซึ่งสลับซับซ้อนราวกับเขาวงกต ทั้งประตูและกำแพงต่าง ๆ ในปราสาทได้รับการออกแบบมาอย่างดีเพื่อป้องกันศัตรูไม่ให้บุกรุกเข้าถึงโดยง่าย ภายในตัวปราสาทเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ในสมัยก่อนที่ประเมินค่ามิได้