คงต้องสารภาพแบบตรงไป-ตรงมา ว่า...ออกจะเป็นอะไรที่สุดจะสะอิด สะเอียน ขยิดเขยียน เต็มที สำหรับการพูดถึงเรื่องบ้าน เรื่องเมือง กันในช่วงนี้ คือมันออกไปทางเอากันดื้อๆ!!! ไม่สนใจ ไม่ละอายใจ ต่อบาปใดๆ อีกต่อไปแล้ว พูดไป เขียนไป ก็เท่านั้น แถมยังเมื่อยมือ เมื่อยปาก อีกต่างหาก เพราะฉะนั้นวันนี้...ขอเปลี่ยนบรรยากาศแก้อ้วก เผ่นไปดูเรื่องราวในต่างประเทศ น่าจะเหมาะกว่า...
----------------------------------------------------
สำหรับข่าวคราวต่างประเทศ ในช่วงวันสองวันที่ผ่านมานี้ คงไม่มีอะไรฮอตฮิต ติดชาร์ต เท่ากับกรณีคุณน้อง คิม จองอุน หรือ อึน ก็แล้วแต่จะเรียก แห่งอาณาจักรหลีเหนือ ซึ่งจะไปรับประทานโสมเกาหลีตังกุยจั๊บ ตุ๋นดีหมีหัวใจเสือ มาจากที่ไหน เมื่อไหร่ ก็มิอาจทราบได้ จู่ๆ ออกอาการฮึ่มๆ แฮ่ๆ เข้าใส่ทั้งคุณพ่ออเมริกา และอาณาจักรหลีใต้ ถึงขั้นขู่จะเอาอาวุธนิวเคลียร์ออกมาถล่ม กันเลยถึงขั้นนั้น ส่งผลให้กลายเป็นข่าวคราวระดับระหว่างประเทศ เกิดบรรยากาศความตึงเครียด ไปทั่วทั้งคาบสมุทรเกาหลี อันเป็นบรรยากาศที่ฝ่ายเกาหลีเหนือ เรียกขานขึ้นมาเองว่าเป็น ภาวะสงคราม เล่นเอาใครต่อใคร ที่ขวัญอ่อน เกิดอาการหูแหก ตาแหก กันไปไม่น้อย...
--------------------------------------------------------
แต่สำหรับนักสังเกตการณ์ต่างประเทศ หลายต่อ หลายราย ดูจะให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า น่าจะไม่มีอะไรมากไปกว่า การโชว์กล้าม โชว์เกรียน หรือความพยายามสร้างความสำคัญให้กับตัวเอง ด้วยการคุยโตโอ้อวด การยั่วยุด้วยคำพูด หรือที่เรียกกันในภาษาปะกิตว่า Bellicose rhetoric อะไรประมาณนั้น อันอาจถือเป็นยุทธศาสตร์ทางการเมือง ทางความมั่นคง ของประเทศเกาหลีเหนือมาโดยตลอด โดยเฉพาะเมื่อถูกแรงกดดันจากฝ่ายตะวันตกมากๆ เข้า หรือบางรายถึงกับให้ข้อสรุปว่า ผู้นำวัยหนุ่มที่เพิ่งจะผ่านพ้นความเป็นวัยรุ่นมาได้หมาดๆ อย่าง คิม จองอึน นั้น...อาจจะโง่...แต่ไม่น่าจะถึงกับบ้า เพราะการเปิดฉากสงครามนิวเคลียร์ กับประเทศมหาอำนาจสูงสุดอย่างสหรัฐ หรือกับพันธมิตรผู้ใกล้ชิด ระดับสายสะดือติดกันอย่างเกาหลีใต้นั้น สุดท้าย...ย่อมมีแต่ตาย...กับ...ตาย ลูกเดียวเท่านั้นเอง!!!
------------------------------------------------------
และถ้ามองลึกเข้าไป ถึงความเคลื่อนไหวในฝั่งเกาหลีเหนือ ณ ปัจจุบัน ก็ดูจะไม่ได้มีสัญญาณใดๆ ส่อให้เห็นแบบชัดๆ จะจะ ว่า มันเอาเราแน่ หรือ มันอึนเราแน่ เขตอุตสาหกรรมร่วม ที่รัฐบาลเกาหลีเหนือเปิดพื้นที่ให้บริษัทธุรกิจในเกาหลีใต้ เข้าไปลงทุนใช้แรงงานราคาถูกนับร้อยๆ บริษัท หรือที่เรียกกันว่า เขตอุตสาหกรรมแคซอง ก็ยังคงเปิดทำงานทำการกันตามปกติ บรรดาพนักงานในบริษัทเกาหลีใต้ ที่เดินทางข้ามฝั่งเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในเกาหลีเหนือ ต่างแสดงลักษณะอาการ ไม่ต่างไปจากกันซักเท่าไหร่นัก คือไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่น วิตก กังวล อะไรกันมากมาย ยังคงใช้ชีวิตประจำวันอย่างเป็นปกติ บางรายถึงกับให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวตะวันตกว่า บรรยากาศทางการเมือง ที่กลายเป็นข่าวพาดหัวในระดับประเทศ กับบรรยากาศที่เป็นจริง ระหว่างสองฟากฝั่งหลีเหนือกับหลีใต้นั้น แทบจะเป็นคนละเรื่อง คนละม้วน เอาเลยก็ว่าได้...
---------------------------------------------------
อย่างไรก็ตาม...แม้ว่าการคุยโต โอ้อวด หรือการใช้คำพูดยั่วยุ ก้าวร้าว จะถือเป็นยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี ของเกาหลีเหนือที่พอรู้ๆ กันมาโดยตลอด แต่สิ่งที่ใครต่อใคร น่าจะยังไม่มีโอกาสได้ล่วงรู้แบบชัดๆ จะจะ นั่นก็คือยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี ของคุณพ่ออเมริกาในทุกวันนี้ มันได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต เท่าที่เคยเป็นมามากน้อยขนาดไหน โดยเฉพาะในยุคที่ประธานาธิบดีผิวสีอย่าง โอบามา ได้หันมาให้ความสำคัญ กับสิ่งที่เรียกว่า พลังอำนาจแบบฉลาด ชนิดยิ่งๆ ขึ้นไป คือแทนที่จะใช้พลังอำนาจแบบแข็ง หรือแบบโง่ๆ ด้วยการบุกอัฟกานิสถาน บุกอิรัก อย่างที่เคยเป็นมา ในยุคประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ทุกวันนี้แม้ว่าอเมริกา ยังไม่คิดจะบุกใครต่อไป แถมทำท่าว่าพยายามจะถอนตัวออกจากการบุกรุกใครต่อใคร แต่ที่น่าสังเกตเอามากๆ ก็คือว่า...บรรดาชาติพันธมิตรของอเมริกา กลับแสดงอาการกระเหี้ยน กระหือรือ คิดจะบุกประเทศโน้น ประเทศนี้ หรือพร้อมที่จะแสดงตัวเป็น Proxy ของอเมริกา ในการปิดล้อมใครต่อใคร อย่างเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...
--------------------------------------------------------
ไม่ว่าจะเป็นอิสราเอล หรือซาอุดีอาระเบีย ที่พร้อมจะร่วมมือกันบุกซีเรีย บุกอิหร่าน ขอเพียงแค่อเมริกาเปิดไฟเขียวให้แต่เพียงเท่านั้น ซึ่งล่าสุด ประธานาธิบดีอเมริกัน ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ในแบบบุญหล่นทับใส่หัวแม่ตีนไปแบบงงๆ ก็ดูจะเปิดไฟกะพริบๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว ด้วยการประกาศว่า อิสราเอลไม่จำเป็นจะต้องปรึกษาหารือใดๆ กับสหรัฐ ในการตัดสินใจจัดการกับภัยคุกคามความมั่นคงของตัวเอง ตามที่เห็นเหมาะสม หรือจะเป็นญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์ ที่พร้อมจะประสานมือ ประสานไม้ เพื่อหยุดยั้งภัยคุกคามของจีนในทะเลจีนใต้ ส่วนพันธมิตรประเภทสายสะดือติดกันอย่างเกาหลีใต้ การออกมาขู่คำรามของประธานาธิบดีวัยทอง อย่างนาง ปัก กึนเฮ หรือ ฮ-เย ก็แล้วแต่ ต่อผู้นำวัยรุ่นเกาหลีเหนือ ต้องเรียกว่า...ทั้งกร้าว ทั้งเกรียน ไม่ต่างไปจากกันซักเท่าไหร่ ยิ่งได้เห็นการส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน บรรทุกจรวดนิวเคลียร์ B-2 สเตลธ์ เครื่องบินขับไล่ล่องหน F-22 สเตลธ์ กองเรือรบพร้อมสถานีเรดาร์ทางทะเล มาให้การสนับสนุนแบบเต็มสูบ เต็มลำ บรรยากาศความตึงเครียดในช่วงนี้ จึงไม่ได้อยู่ที่หลีเหนือเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับปฏิกิริยาตอบโต้ของหลีใต้ ควบคู่ไปด้วย...
----------------------------------------------------------
อย่างไรก็ตาม...ไม่ว่ามหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกา คิดจะเปลี่ยนวิธีเล่นงาน ผู้ที่เห็นเป็นศัตรู ด้วยยุทธศาสตร์แบบไหน ยุทธวิธีแบบไหน สิ่งที่น่าสนใจไปกว่านั้น ก็คือว่า ในช่วงระยะหลังๆ นี้ บรรดานักวิเคราะห์ในอเมริกา หลายต่อ หลายราย ชักจะเริ่มเห็นพ้องต้องกันว่า ด้วยภาวะวิกฤติเศรษฐกิจและสังคม ภายในอเมริกาเองนี่แหละ ที่ถือเป็น ศัตรูที่แท้จริง ของรัฐบาลอเมริกัน ในแต่ละรัฐบาล อันทำให้นักวิเคราะห์บางรายอย่าง ชาร์ลส์ เนนเนอร์ แห่งโกลด์แมนแซคส์ ถึงกับเคย ฟันธง เอาไว้ ขณะให้สัมภาษณ์โทรทัศน์ฟอกซ์ นิวส์ ตั้งแต่ช่วงกลางปี ค.ศ.2011 ว่า สงครามขนาดใหญ่ เพื่อช่วยกลบเกลื่อน ลบล้าง ความล้มเหลวทางเศรษฐกิจของสหรัฐ จะอุบัติขึ้นมาในระหว่างปี ค.ศ.2012-2013 จริง-ไม่จริง...อีกไม่นานคงพอได้รู้!!! ส่วนจะอุบัติขึ้นมาในคาบสมุทรเกาหลี ในตะวันออกกลาง หรือที่ไหนๆ ก็แล้วแต่ ท่ามกลางสถานการณ์ความเป็นไปของโลกยุคนี้ โอกาสความเป็นไปได้ ดูๆ มันชักจะสูงขึ้นๆ เข้าไปทุกที...
--------------------------------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Plato...Only the dead have seen the end of war. - คนตายเท่านั้นที่ได้เห็นอวสานแห่งสงคราม...