ตั้งแต่เด็กๆ เพื่อนๆก็เริ่มที่จะแสดงความรักกับพ่อแม่ ไม่ว่าจะกอด หอมแก้ม หรือ จูบ โตขึ้นมาเป็นหนุ่มเป็นสาวก็คงจะต้องมี kiss kiss กับคนรักกันบ้าง แล้วเพื่อนๆรู้รึเปล่าว่า? การจูบ นั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มาจากไหน แล้วใครเป็นคนคิด การจูบ สื่อรักแบบนี้ขึ้นมา ตาม teen.mthai ไปหาคำตอบกันคะ ^^
เรื่องของ จูบ
เรื่องของ จูบ : ประวัติศาสตร์การจูบ
หลักฐานทางประวัติศาสตร์อันแรกๆที่ บันทึกเกี่ยวกับการจูบไว้พบในอินเดีย 1500 ปีก่อนคริสตกาล
ในมหากาพย์อินเดีย ชื่อว่า “มหาภารตะ” ได้บรรยายไว้ว่า การจูบริมฝีปากนั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักใคร่ ซึ่งมหากาพย์นี้ได้ถูกจดบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในช่วงคริสต์ศักราชที่ 350
นอกจากนี้ ตำราทางศาสนาชื่อ ”กามาสุตรา” ซึงเขียนไว้ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 6 ยังบรรยายเรื่องจูบไว้อย่างหลากหลายเช่นกัน นักมนุษยวิทยาเชื่อว่า ชาวกรีกเรียนรู้เรื่องจูบเมื่ออเล็กซานเดอร์มหาราชบุกรุกอินเดียในช่วง 326 ปีก่อนคริสตกาล
ส่วนในโลกตะวันตก บันทึกเกี่ยวกับเรื่อง “จูบ” นั้นเริ่มมีแพร่หลายในยุคโรมัน ชาวโรมันจูบเพื่อทักทายมิตรสหายและครอบครัว ส่วนชาวเมืองก็ จูบ มือของเหล่านักปกครอง และแน่นอนว่า เหล่าคู่รักก็ต้องจูบกันอยู่แล้ว ซึ่งชาวโรมันจำแนกแยกแยะ จูบ ออกเป็น 3 รูปแบบด้วยกัน
Osculum (ออสคูลัม) จูบตรงแก้ม
Basium (เบเซียม) จูบตรงปาก
Savolium (ซาโวเลียม) จูบอย่างดูดดื่ม
ปนะโยชน์ของ การจูบ : ทำให้ร่างกายเราแข็งแรง
วารสารวิชาการ “สมมติฐานการแพทย์” ของสหรัฐอเมริกา อ้างว่า การจูบกันของชายกับหญิงเป็นเหมือนกับการฉีดวัคซีน เพื่อให้ผู้ชายถ่ายเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า “ไซโตเมกะโลไวรัส” ขณะที่ใช้ปากต่อปากสัมผัสกันกับผู้หญิงซึ่งมักจะมีรูปร่างเตี้ยกว่าตน “การจูบกับคนคนเดียวกัน เป็นเวลานานประมาณ 6 เดือน จะ ทำให้เกิดภูมิคุ้มโรคที่ดีที่สุด”
บทความชิ้นนี้ยังมีรายละเอียดเพิ่มเติมอีกว่า ยามที่ความสัมพันธ์คืบหน้าไป และจูบยิ่งมีรสชาติดูดดื่มยิ่งขึ้น มันจะสร้างเสริมภูมิคุ้มโรคของฝ่ายหญิงเข้มแข็งยิ่งขึ้นไปอีก นอกจากนี้ ยังตัดโอกาสจะเกิดโรคภัยให้เหลือน้อยลงที่สุด เมื่อผู้หญิงตั้งครรภ์ โอกาสที่ทารกซึ่งกำลังจะเกิดจะติดโรค จึงเหลือน้อยมาก
ก่อนหน้านี้เคยมีนักวิทยาศาสตร์ อ้างว่า การจูบกันของหญิงชาย เป็นการควบคุมคุณภาพของการวิวัฒนาการรูปแบบหนึ่ง ด้วยการช่วยรักษาความสมบูรณ์ ของการมีบุตร สุขภาพ ตลอดจนพันธุกรรมให้คงอยู่
ข้อเสียของ การจูบ : ทำให้เกิดโรคกับร่างกายได้เหมือนกันนะ!
นพ.ประวิตร พิศาลบุตร แพทย์โรคผิวหนัง อดีตนักวิจัยสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า การจูบนั้นอาจไม่ปลอดภัยทำให้เกิดการติดเชื้อโรคจากน้ำลายได้หลายอย่าง
ที่พบบ่อยคือ โรคเริม ซึ่ง จะเป็นตุ่มน้ำเจ็บ ๆ คัน ๆ ที่ริมฝีปาก จมูก คาง แก้ม เกิดจากเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 1 (HSV-1) ในอเมริกาพบว่าเมื่อ วัยรุ่นอายุครบ 20 ปี ส่วนใหญ่จะมีการ ติดเชื้อเริมที่ปากไปแล้ว และเริมที่อวัยวะสืบพันธุ์ ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 2 (HSV-2) เริมเป็นแล้วจะไม่หายขาด เมื่อ ผู้ติดเชื้ออ่อนแอ เช่น เป็นไข้ โดนแดดจัด หญิงก่อนมีประจำเดือน เริมจะกำเริบได้ หากแกะเกาตุ่มน้ำแล้วสัมผัสนัยน์ตา กระจกตาอาจอักเสบจนถึงขั้นตาบอด
ที่น่าสนใจ คือ ปัจจุบันเชื่อว่าการ ติดเชื้อเริมที่ริมฝีปาก (HSV-1) อาจทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมที่เรียกว่าอัลไซเมอร์ได้ โดยตรวจพบเชื้อไวรัสเริม (HSV-1) ในคราบสมอง (beta-amyloid plaques) ของผู้ป่วยที่เป็น โรคนี้
อาการของอัลไซเมอร์ คือ ความจำเสื่อม หลงลืม ชอบพูดซ้ำ ถามซ้ำ ปัจจุบันพบว่ามีผู้เป็นโรคนี้มากขึ้น เพื่อป้องกันโรคเริม แนะ นำว่าให้งดเว้นการจูบพร่ำเพรื่อ การมีเพศสัมพันธ์ สำส่อน งดการใช้เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว ตลอดจนแก้วน้ำร่วมกัน เพื่อความปลอดภัยควรใช้หลอดดูด ดูดน้ำจากแก้ว
การจูบปากยังทำให้ติดเชื้อไวรัส อื่น ๆ คือ โรคไวรัสตับอักเสบ บี เอ และน่าจะถ่ายทอดไวรัส ซี ได้ด้วย ซึ่งล้วนเป็นโรคเรื้อรังเป็นแล้วไม่หายขาด มีโอกาสทำให้ตับอักเสบ ตับแข็ง ตับวาย และอาจกลายเป็นมะเร็งตับ
ทั้งนี้การจูบอาจถ่ายทอดโรคโมโนนิวคลิโอสิส (infectious mononu- cleosis) ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า เอปสตีน บาร์ ไวรัส (Epstein Barr Virus, EBV) โรคนี้จึงมีชื่อภาษาอังกฤษว่าโรคจากการจูบ (kissing diseases) มักพบในวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้น โรคนี้ทำให้เกิดอาการไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต ม้ามโต เจ็บคอ ปวดหัว เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และตับอักเสบ
สำหรับการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ซึ่งหลายคนกลัวนั้น โดยทั่วไป การจูบ ไม่ทำให้ติดโรคนี้ ยกเว้นแต่ว่าเป็น การจูบ แบบเปียกที่ผู้ที่เราไปจูบด้วยมีแผลมีเลือดออกในช่องปากและมีเชื้อเอชไอวี และตัวเราก็มีแผลในช่องปากเองด้วย
อย่างไรก็ตาม การจูบ ยังทำให้ติดเชื้อไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ โรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากไวรัส หูดข้าวสุก และโปลิโอ.
เตือนภัยสาวๆ
ผู้หญิงที่ชอบทดลองลิปสติกตามเคาน์เตอร์เครื่องสำอางมีโอกาสติดเชื้อ เริมได้ ผู้ที่เข้าห้องน้ำสาธารณะก็มีโอกาส ติดเชื้อเริมที่ก้น จึงควรใช้กระดาษ ปู รองนั่ง การทักทายโดยการจูบแบบชาว ตะวันตกนั้นเพิ่มการติดเชื้อเริมอย่างมาก การทักทายโดยการไหว้แบบไทยนับว่าปลอดภัยกว่า
Credit:
news@mthai.com