ถ้าใครบอกว่าศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาที่อนุญาตมีภรรยาได้เยอะที่สุดผมก็จะขอเถียงว่าอิสลามเป็นศาสนาที่อนุญาตให้มีภรรยาได้น้อยที่สุดต่างหากล่ะครับ!งงใช่ไหมล่ะครับ? ยังไม่พอแค่นั้นครับผมจะให้คุณงงเพิ่มเข้าไปอีก..เนื่องจากสังคมปัจจุบันมองว่าอิสลามเป็นศาสนาที่กดขี่สตรีเพศผมก็จะขอเถียงว่าอิสลามเป็นศาสนาที่ยกฐานะของสตรีต่างหากล่ะครับ!งงว่าทำไมมันถึงกลับตะละปัดอย่างนี้ใช่ไหมครับ? สาเหตุที่คุณงงก็เพราะคุณไม่เคยดูคัมภีร์หรือบัญญัติศาสนาของคุณเลยส่วนอีกประการคือคุณไม่เคยใคร่ครวญถึงอดีตเลยนอกจากมีประวัติศาสตร์ไว้เป็นเพียงตำนานเล่าขานหรือไว้เรียนเพื่อให้สอบผ่านก็เท่านั้น
ประการแรกเรามาดูเรื่องบทบัญญัติของคัมภีร์กัน..คัมภีร์อัล-กุรอานได้บัญญัติเรื่องแต่งงานไว้ว่า “หากพวกเจ้าไม่สามารถให้ความยุติธรรมแก่บรรดา(สตรี)กำพร้าได้ก็จงแต่งงานกับสตรีที่ดีแก่พวกเจ้า จะสองคน หรือสามคน หรือสี่คนแต่ถ้าพวกเจ้าเกรงว่าจะไม่สามารถให้ความยุติธรรมได้ก็จงแต่งงานกับสตรีเพียงคนเดียว หรือไม่ก็สตรีที่มือขวาของเจ้าครอบครองอยู่นั่นเป็นสิ่งดียิ่งกว่าในการที่พวกเจ้าจะไม่ลำเอียง” (คำแปลบทอัน-นิซาอฺโองการที่ 3) ดังนั้นคัมภีร์อัล-กุรอานของศาสนาอิสลามจึงเป็นคัมภีร์เดียวนะครับที่มีระบุประโยคที่บอกว่า
“จงแต่งงานกับสตรีเพียงคนเดียว”
ซึ่งประโยคนี้ไม่มีถูกบัญญัติไว้ในคัมภีร์ของศาสนาอื่นเลยซักเล่มเดียวและศาสนาอิสลามได้จำกัดจำนวนของการมีภรรยาไว้อย่างชัดเจนซึ่งการจำกัดจำนวนของการมีภรรยานั้นไม่มีในศาสนาอื่นนะครับนั่นหมายความว่าศาสนาอื่นอนุญาตให้มีภรรยากี่คนก็ได้โดยที่ไม่จำกัดจำนวนไงครับ แต่สังคมเราปัจจุบันลืมข้อนี้ไปซะสนิทมนุษย์เราขี้ลืมจนถึงขั้นลืมประวัติศาสตร์ของบรรพบุรุษตน..คนไทยในอดีตมีภรรยากันเป็นสิบ ยิ่งมียศศักดิ์สูงก็ยิ่งมีภรรยามากแต่การมีภรรยาหลายคนของคนในอดีตเขาไม่ได้ให้ความเท่าเทียมแก่บรรดาภรรยาเขาจะยกย่องภรรยาคนแรกมากที่สุดส่วนคนต่อๆมาจะถือว่าเป็นนางสนมหรือไม่ก็เมียน้อยซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้เป็นสิ่งที่ศาสนาอิสลามไม่เห็นด้วยดังนั้นอิสลามจึงเป็นศาสนาที่มายกเลิกอนารยธรรมเหล่านี้ต่างหากล่ะครับอิสลามไม่มีเมียหลวงเมียน้อยแต่จะมีกฎข้อบังคับให้สามีให้ความเท่าเทียมกับภรรยาทุกๆคนเราจะไม่เรียกว่าใครเป็นเมียหลวงเมียน้อย แต่จะเรียกเป็นภรรยาคนที่ 1..2..3..4..นอกจากนั้นแล้วอิสลามก็เป็นศาสนาที่มายกสถานะของสตรีจากในอดีตที่ผู้คนถือว่าสตรีเป็นสินค้าแต่อิสลามได้เข้ามายกสถานะสตรีซึ่งเป็นเพศแม่ให้ได้ถูกรับการปกป้องคุ้มครองจากสามีและกฎหมายอิสลามในขณะที่สังคมยุคปัจจุบันกำลังจะนำอนารยธรรมในอดีตกลับมาใช้คือเห็นผู้หญิงเป็นสินค้าและมีหน้าที่ไว้บำเรอให้ความสุขแก่ผู้ชายไม่ว่าจะปรากฏในรูปของโสเภณี, ดารานักร้อง, หรือนักเต้นโชว์ก็ตาม(ในอดีตกาลก็มีสิ่งเหล่านี้)ซึ่งสังคมเราก็กำลังนำสิ่งต่ำทรามในอดีตกลับมาใช้ใหม่
ประการต่อมาคือเหตุผลของการตั้งกฎบัญญัติซึ่งเราก็ทราบแล้วว่าเป็นบัญญัติที่มาจากพระเจ้าซึ่งหวังดีและเอื้ออำนวยประโยชน์ให้มนุษย์เสมอไม่ใช่มนุษย์ผู้ชายหน้าไหนมาตั้งกฎเองหรือนบีมุฮัมมัดซึ่งเป็นผู้ชายได้ออกบัญญัติเพื่อเข้าข้างเพศตนเอง(ดังที่คนชอบกล่าวหากัน) แต่กฎระเบียบทั้งปวงมาจากพระผู้เป็นเจ้าซึ่งสร้างมนุษย์มาและรู้ถึงธรรมชาติของมนุษย์อย่างดียิ่ง
ธรรมชาติของผู้ชายนั้น จะมีความชอบหรือพอใจในผู้หญิงหลายคนโดยธรรมชาตินั้นมีความแข็งแรง มีความเป็นผู้นำส่วนผู้หญิงนั้นเป็นเพศที่อ่อนแอ มีความพอใจที่จะอยู่ในการดูแลของผู้ชายและโดยธรรมชาติแล้วเป็นช้างเท้าหลัง (ถ้าไม่มีเท้าหลัง ช้างก็เดินไม่ได้)
การที่มนุษย์สร้างแนวคิดใหม่ๆขึ้นมาว่าผู้หญิงเท่าเทียมกับชายหรือสามารถทำอะไรได้เหมือนผู้ชายนั้นขัดกับหลักความเป็นจริงทางธรรมชาติของมนุษย์โดยสิ้นเชิงเป็นเพียงการหลอกตัวเองและเป็นความคิดที่เพ้อเจ้อ..เราลองคิดตามกันดูว่า..นักวิ่งที่วิ่งเร็วที่สุดเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย? ..นักมวยที่เก่งที่สุดเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย? ..นักแข่งรถที่เก่งที่สุดเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย? ..นักยกน้ำหนักที่ทำสถิติได้สูงที่สุดเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย? ..และตกลงเพศชายหรือเพศหญิงครับที่เป็นฝ่ายตั้งท้องและให้นมลูก? ..นี่คือธรรมชาติครับ ผู้หญิงไม่สามารถทำอะไรได้เหมือนผู้ชายและผู้ชายก็ไม่สามารถทำอะไรได้เหมือนผู้หญิง
..ในมุมมองของผู้คนสังคมปัจจุบันนั้นปฏิเสธไม่ได้ว่าถูกล้างสมองให้มีความเลื่อมใสศรัทธาต่อระบบ“ผัวเดียวเมียเดียว”กันไปหมดแล้วไม่เว้นแม้แต่มุสลิมเองแต่ในความเป็นจริงแล้วการกำหนดให้ผู้ชายทุกคนมีภรรยาคนเดียวเป็นสิ่งที่ขัดกับความเป็นจริงในทางปฏิบัติเพราะอย่างที่เราทราบกันว่าจำนวนของผู้หญิงบนโลกนั้นมีมากกว่าชาย
ในนิวยอร์ครัฐเดียวมีผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึง 1 ล้านคนในรัสเซียมีผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 9 ล้านคนและในอเมริกานั้นมีสตรีที่หาสามีไม่ได้จำนวนมากกว่า30 ล้านคน! (เนื่องจากผู้ชายชาวอเมริกันไปเป็นเกย์กันเยอะด้วยส่วนหนึ่ง)ส่วนในอังกฤษสตรีมีมากกว่าชาย 4 ล้านคนในเยอรมันมีหญิงมากกว่าชาย 5ล้านคนและสำหรับเฉพาะรัสเซียแค่ประเทศเดียวมีสตรี 9 ล้านคนที่ยังหาสามีไม่ได้! ….เพราะฉะนั้นเมื่อเรารู้ถึงความเป็นจริงข้อนี้แล้วยังจะมีคำถามอยู่อีกหรือไม่ว่า “ทำไมไม่ให้ผู้หญิงมีสามีได้ 4 คน บ้าง”! (นึกภาพดู ถ้าคุณมีสามี 4 คน แล้วในขณะที่คุณท้องอยู่น่ะนะ สามีทั้ง 4 คุณวุ่นแน่นอนครับ)
เมื่อเราทราบสถิติข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้แล้ว ตกลงจะเลือกแบบไหนดี
ระหว่างให้สตรีที่เป็นโสดได้ไปแต่งงานกับคนที่มีภรรยาแล้ว..? หรือให้สตรีที่เป็นโสดได้เป็นโสดต่อไปหรือไปเป็นโสเภณีไว้รับใช้ในสถานบริการสำหรับสามีที่แอบหนีภรรยามาเที่ยว?
และสำหรับเรื่องสถานขายบริการทางเพศ(ไม่ว่าจะปรากฏในรูปของสถานบันเทิงชนิดใดก็ตาม) นั่นก็คืออีกปัญหาหนึ่งของสังคมบรรดานักเรียกร้องสิทธิสตรี(ที่เกลียดระบบเมีย 4 ของอิสลาม)เขาไม่เคยเล็งเห็นถึงโทษของการบังคับให้ผู้ชายมีภรรยาได้คนเดียวเขาคิดว่าสถานบริการต่างๆทั่วโลกที่ทำกำไรมหาศาลทุกวันนี้ได้ลูกค้ามาจากไหนกันนักหนาล่ะ? ก็สามีพวกคุณทั้งนั้นแหละ!เพราะความพอใจในผู้หญิงหลายคนนั้นเป็นนิสัยโดยธรรมชาติของผู้ชายดังนั้นอิสลามจึงป้องกันปัญหาเรื่องความมักมากของผู้ชายไม่ให้ไปมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่นอย่างไม่ถูกต้อง จึงให้มีการแต่งงานซะแล้วสตรีคนนั้นก็ถือว่าเป็นภรรยาของคุณซึ่งมีสิทธิที่จะได้รับการดูแลให้ความรักและความคุ้มครองอย่างดี ..ศาสนาอิสลามได้วางระบบระเบียบไว้เหมาะสมแล้วสำหรับมนุษย์ทั้งเรื่องการอนุญาตให้ผู้ชายมีภรรยาได้มากกว่า 1 แต่ไม่เกิน 4 และทั้งกฎหมายอิสลามที่ไม่อนุญาตให้มีสถานบันเทิงซักชนิดเดียวซึ่งถ้าประเทศไหนรัฐไหนนำกฎนี้ไปใช้สังคมนั้นก็จะเกิดความสันติสุข(ดังชื่อของศาสนา)
เนื่องจากมนุษย์ไม่ได้เป็นผู้สร้างมนุษย์ขึ้นมาเขาจึงไม่รู้เบื้องลึกเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ดังนั้นบรรทัดฐานกฎเกณฑ์ที่มนุษย์ได้อุตริตั้งขึ้นมาเองตามอารมณ์เห็นชอบของพวกเขานั้นไม่ได้เป็นผลดีกับพวกเขาเลยแล้วยังกลับทำให้สังคมเสื่อมทรามไปทั้งระบบและต้นตอของปัญหาก็คือมาจากสถาบันครอบครัวนั่นเองเพราะฉะนั้นศาสนาอิสลามจึงสนับสนุนให้มนุษย์มีครอบครัว มีการแต่งงานและสมควรที่รีบแต่งงานเมื่อเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์หรือวัยหนุ่มสาวแต่ถ้าเราฝ่าฝืนหรือปฏิเสธกฎข้อนี้มันก็จะเกิดปัญหาสำหรับวัยรุ่นอย่างที่เห็นได้ชัดในปัจจุบัน
เพราะฉะนั้น...เรามารักกันเพื่ออัลลอฮกันเถอะ