ภูฏาน ประเทศเล็กๆ แถบหิมาลัยที่ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งความสุข
“ภูฏาน” ที่หลายคนเรียกดินแดนแห่งนี้ว่าเป็น “สวรรค์แห่งสุดท้าย”
เมืองแห่งความสุขที่ซ่อนตัวอย่างสงบเงียบอยู่ท่ามกลางขุนเขาหิมาลัย
เป็นสวรรค์ที่นักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยอยากมีโอกาสเข้าไปสัมผัสสักครั้งหนึ่งในชีวิต
โลกรู้จักภูฏานในฐานะประเทศเล็กๆ แถบเทือกเขาหิมาลัยที่มีพรมแดนติดกับจีนและอินเดีย
รุ่มรวยด้วยธรรมชาติที่ยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง และวัฒนธรรมพุทธวัชรยานที่ยังคงหยั่งรากลึกอยู่ในจิตใจของผู้คน
สายธงมนต์ที่ปลิวสะบัดเป็นภาพที่เห็นกันจนชินตาตามหมู่บ้านและวัดวาอาราม ร
วมถึงภาพเขียน “ลึงค์” ขนาดใหญ่ตามกำแพงบ้าน ซึ่งชาวภูฏานเชื่อว่าจะช่วยขับไล่สิ่งอัปมงคลต่างๆ
การปกป้องพระพุทธศาสนาถือเป็นหลักสำคัญในทฤษฎี “ความสุขมวลรวมประชาชาติ” (Gross National Happiness) ของภูฏาน
ซึ่งมุ่งสร้างสมดุลระหว่างความสุขทางจิตใจ และคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน
****
พระเคนโช เชอริง พระลามะรูปหนึ่งซึ่งเคยบำเพ็ญสมาธิอยู่นานถึง 3 ปี 3 เดือน กับอีก 3 วัน ยอมรับว่า ศรัทธาที่เข้มแข็งของชาวพุทธภูฏานกำลังเปลี่ยนไป หลังจากที่ “โทรทัศน์” เริ่มแพร่หลายเข้ามาในปี 1999 โดยภูฏานถือเป็นประเทศสุดท้ายในโลกที่เปิดรับสื่อชนิดนี้
“ภูฏานก้าวมาถึงยุคเปลี่ยนแปลงแล้ว วัดวาอารามไม่ได้มีอิทธิพลเหมือนสมัยก่อน
แม้แต่พระอาวุโสก็ไม่ได้รับความเคารพนับถือจากคนในเมืองมากนัก”
ธงมนต์ 5 สีปลิวสะบัดตามสายลม เป็นภาพที่พบเห็นได้ทั่วไปในภูฏาน
การ์มา พุนโช อดีตพระลามะผู้แต่งหนังสือ The History of Bhutan ชี้ว่า การศึกษาแบบสมัยใหม่ที่เริ่มมีในภูฏานเมื่อทศวรรษ 1960
ทำให้โลกทัศน์ของชาวภูฏานเปลี่ยนแปลงไป วัดที่เคยเป็นศูนย์กลางการศึกษาสำหรับเยาวชนก็เสื่อมความนิยมลงเป็นลำดับ
“คนภูฏานกลัวเทพเจ้ากันน้อยลง เชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติน้อยลง...
พิธีกรรมที่เคยถือปฏิบัติกันมาแต่ครั้งปู่ย่าตายาย ก็ไม่ได้รับความสนใจจากคนรุ่นใหม่”
อำนาจของสถาบันศาสนาลดลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
หลังจากภูฏานเปลี่ยนระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย พระสงฆ์, ชี และนักบวชกึ่งฆราวาส
ไม่ได้รับอนุญาตให้มีส่วนร่วมในการออกเสียง
ทั้งนี้เพื่อให้มั่นใจว่า ศาสนาและการเมืองจะถูกแยกออกจากกันอย่างชัดเจน
ชาวภูฏานบางคนมองว่า ความเสื่อมของวัดมีต้นเหตุมาจากพระสงฆ์เองที่ฝักใฝ่ “วัตถุนิยม” มากเกินไป
พุทธศาสนาแบบภูฏานอนุญาตให้พระมีทรัพย์สินได้หลายอย่าง “บางรูปมีรถยนต์หรูเป็นของตัวเองด้วยซ้ำ”
แดมเบอร์ เค. นิโรลา จิตแพทย์ในกรุงทิมพู ให้สัมภาษณ์
ลามะหนุ่ม 2 รูปกำลังเพลิดเพลินกับน้ำอัดลมจากตะวันตก
วัดภูฏานยังคงมีบทบาทด้านสังคมที่สำคัญยิ่ง คือเป็น “บ้าน” สำหรับเด็กๆหลายพันคนที่พ่อแม่เสียชีวิต หรือไม่สามารถที่จะส่งเสียเลี้ยงดูบุตรหลานได้
ชาวภูฏานเปิดรับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ไม่เว้นแม้แต่ในแวดวงพระลามะ
นพ. นิโรลา เล่าว่า พระลามะจำนวนไม่น้อยป่วยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งบางกรณีก็เกิดจากการไป “มั่วสีกา” นอกวัด
เด็กหนุ่มชาวภูฏานบางคนเริ่มทิ้งชุด “โก” ซึ่งเป็นชุดประจำชาติ และหันไปรับวัฒนธรรมการแต่งกายแบบตะวันตก
ปล.
ผมเองยังไม่มีโอกาสไปประเทศภูฏาน แต่ก็เสียดายสิ่งดีงามข้างต้นต้องเสื่อมด้วยความเจริญของวัตถุครับ