เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย เป็นสัจธรรมของมนุษย์ตามกฎธรรมชาติที่ไม่มีใคร
หนีพ้น ยิ่งเทคโนโลยีของมนุษย์ก้าวไปไกลเท่าไหร่ ดูเหมือนว่ามนุษย์ก็
พยายามฝืนกฏของธรรมชาติยิ่งขึ้นไปเท่านั้น สิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้
อย่างชัดเจนก็คือเทคโนโลยีที่เรียกว่า "ไครโอนิกส์" (Cryonics) มัน
คือการแช่แข็งเนื้อเยื่อร่างกายของมนุษย์เพื่อให้เซลของร่างไร้วิญญาณ
คงสภาพได้เป็นระยะเวลานาน จนถึงวันที่วิทยาการก้าวหน้าพอที่จะชุบ
ชีวิตของร่างที่ไร้วิญญาณนี้ให้ฟื้นคืนกลับมาได้
เพื่อให้เห็นภาพว่าขั้นตอนของไครโอนิกส์นั้นมีอะไรบ้าง เราจะไปดูผ่านภาพถ่ายของเมอร์เรย์ บัลลาด (Murray Ballard) ช่างภาพที่มีโอกาสได้ก้าวไปสู่โลกของไครโอนิกส์ค่ะ
ขั้นตอนแรกของกระบวนการแช่แข็งร่างก็คือ หลังจากที่ร่างนั้นเพิ่งเสียชีวิตจะมีการใช้ชุดเครื่องมือที่มีหน้าที่กำจัดเลือดออกจากร่างกายแล้วแทนที่ด้วยของเหลวที่ทำให้อุณหภูมิของร่างกายเย็นลงอยางรวดเร็ว เพื่อให้การเสื่อมของเซลล์เกิดขึ้นน้อยที่สุดในระหว่างการขนส่งร่างไปยังสถานที่ที่ใช้สำหรับเก็บร่างนั้น
ขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการแช่แข็ง (cryopreservation) คือการนำร่างไปแช่ในถังที่บรรจุไว้ด้วยไนโตรเจนเหลว ซึ่งไนโตรเจนเหลวนี้จะแช่แข็งร่างกายไว้ที่อุณหภูมิประมาณ -196 องศาเซลเซียส จากนั้นก็ไม่ต้องไปรบกวนเจ้าถังที่บรรจุนี้อีก แต่อาจจะมีการคอยเติมไนโตรเจนเหลวบ้างเป็นบางครั้ง
แต่ก่อนที่ร่างกายจะถูกแช่ไว้ในไนโตรเจนเหลว ต้องทำให้อุณหภูมิของร่างนั้นค่อยๆเย็นลงจนมีอุณหภูมิเท่ากับไนโตรเจนเหลว ที่ทำดังนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียหายของเนื้อหนังและอวัยวะสำคัญๆนั่นเอง
ถังสีขาวขนาดใหญ่ที่เห็นด้านล่างเป็นที่ที่ร่างไร้วิญญาณได้ถูกเก็บรักษาเอาไว้
สถานที่ที่ใช้เก็บรักษาร่างกายแบบไครโอนิกส์นั้นมีที่สหรัฐฯและรัสเซียเท่านั้น ถ้าหากใครอยากเก็บรักษาร่างกายด้วยวิธีนี้ก็ต้องส่งร่างไปยังประเทศดังกล่าว
คนที่ต้องการใช้วิธีไครโอนิกส์ มักจะเก็บดีเอ็นเอของตัวเองไว้ส่วนหนึ่ง ในกรณีที่พวกเขาตายอย่างปัจจุบันทันด่วนจนไม่สามารถใช้วิธีการแช่แข็งร่างของพวกเขาไว้ได้ทัน
ด้านบนคือร่างไร้วิญญาณที่รอจะเก็บไว้ในถังแช่แข็งที่คริโอรุส ในรัสเซีย ในสหรัฐฯ กระบวนการไครโอนิกส์รวมถึงการเก็บรักษาร่างไว้จะมีค่าใช้จ่ายอยู่ประมาณ 25,000 เหรียญ หรือประมาณ 750,000 บาท แต่ที่อื่นจะเก็บค่าใช้จ่ายประมาณ 100,000 เหรียญ (3,000,000 บาท) แต่ก็มีแพคเกจที่ถูกกว่า แต่จะเก็บรักษาแค่ส่วนหัวไว้ให้เท่านั้น
โรเบิร์ต เอ็ตทิงเกอร์ (Robert Ettinger) เขาเป็นผู้ก่อตั้งสถาบันไครโอนิกส์ (Cryonics Institute) และได้ชื่อว่าเป็น "บิดาแห่งไครโอนิกส์"
หากการฟื้นคืนชีวิตทำได้จริง เราคงไม่ต้องทนเจ็บปวดกับการจากไป
ของคนที่รัก แต่บางครั้งการเป็นอมตะก็อาจจะไม่มีความสุขอย่างที่เรา
คิดฝันไว้ก็เป็นได้ เพราะยังไม่เคยมีใครบนโลกนี้มีชีวิตอยู่เป็นอมตะและ
มาบอกเล่าให้เราฟังได้ว่า ความเป็นอมตะมันดียังไง...
แล้วคุณล่ะค๊ะชอบการเป็นอมตะด้วยวิธีนี้ไหม? และคิดว่าจะมีวิทยาการ
ที่สามารถฟื้นคืนชีวิตมนุษย์ได้จริงไหม???
เรียบเรียงข้อมูลและรูปภาพจาก BBC