เป็นสถาปัตยกรรมที่งดงาม แปลกประหลาดสุดขั้วในแนวคิดและค่อนข้าง
จะสยดสยองใช้ได้ทีเดียวกับโบสถ์ที่มีนามว่า "Sedlec Ossuary" ซึ่งเป็น
โบสถ์นิกายโรมันคาทอลิก ถือเป็นโบสถ์โครงกระดูกที่สวยงามแห่งหนึ่ง
โดยโบสถ์ดังกล่าวนี้ตั้งอยู่กลางสุสานในหมู่บ้านเล็กๆชื่อ "Sedlec" ชาน
เมือง Kutna Hora ที่อยู่ห่างไปทางทิศตะวันออกของกรุง Prague เมือง
หลวงของสาธารณเช็คประมาณ 70 กิโลเมตร
แม้ด้านนอกของโบสถ์จะดูธรรมดาไม่แตกต่างไปจากโบสถ์อื่นๆในยุโรป แต่เมื่อเข้าไปข้างในแล้วจึงจะทราบว่า ทำไมทุกคนที่มีโอกาสมาชมโบสถ์แห่งนี้ถึงพากันกล่าวว่า นี่คือ โบสถ์ที่แปลกประหลาดที่สุดในโลก ก็จะไม่ประหลาดได้อย่างไรในเมื่อภายในของโบสถ์แห่งนี้ประดับประดาด้วยกระดูกของมนุษย์ โดยมีการคาดคะเนว่า กระดูกทั้งหมดที่นำมาประดับประดาโบสถ์ดังกล่าวนี้ ต้องมาจากคนถึง 40,000-70,000 คนเลยทีเดียว
สำหรับประวัติของโบสถ์แห่งนี้ ต้องย้อนหลังกลับไปในปี ค.ศ. 1278 กษัตริย์ Otakar ที่ 2 แห่ง Bohemia ได้ส่งพระผู้ใหญ่รูปหนึ่งของหมู่บ้าน Sedlec ชื่อ Heinrich ไปแสวงบุญยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์คือกรุงเยรูซาเล็ม การเดินทางไปแสวงบุญในลักษณะนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมากในสมัยนั้น
เมื่อกลับมายังหมู่บ้านSedlec พระ Heinrich ได้นำเอาดินที่ถือกันว่าเป็นดินศักดิ์สิทธิ์จาก Golgotha อันเป็นสถานที่ที่พระเยซูถูกตรึงกางเขนกลับมาด้วยและก็ได้นำดินเหล่านั้นมาโปรยไว้ในสุสานของหมู่บ้าน Sedlec สถานะของสุสานจึงเปลี่ยนไป ผู้คนพากันเชื่อว่าสุสานนี้กลายเป็นสุสานศักดิ์สิทธิ์และต้องการให้ตัวเองหรือญาติพี่น้องมาอยู่ที่สุสานแห่งนี้เพราะจะทำให้ใกล้ชิดกับพระเจ้าและเป็นหนทางที่จะทำให้ได้ขึ้นสวรรค์
ในช่วงเวลานั้นเมือง Kutna Hora เป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ด้วยแร่เงิน แร่เงินที่ได้จากเมืองนี้เป็นแร่เงินที่มีคุณภาพดีมาก หลายประเทศในยุโรปนำไปใช้ทำเงินตรา จึงทำให้มีผู้คนจำนวนมากเข้ามาอยู่ เข้ามาทำงานและเสียชีวิตที่นั่น มีข้อมูลว่าในปี ค.ศ. 1318 มีศพที่ฝังไว้ในสุสานแห่งนี้กว่า 30,000 ศพ ศพเหล่านี้มาจากทั่วทุกสารทิศในประเทศและมีบางศพที่มาจากประเทศข้างเคียงเช่น Poland, Belgium จึงมีการขยายสุสานออกไปอีกเพราะพื้นที่เดิมมีขนาดเล็ก นอกจากการขยายสุสาน ก็มีการล้างสุสานเพื่อให้พื้นที่กับผู้มาใหม่ด้วย
ในปี ค.ศ. 1400 มีการสร้างโบสถ์ขึ้นที่กลางสุสาน มีการสร้างห้องใต้ดินไว้ใต้โบสถ์เพื่อใช้สำหรับเป็นที่เก็บกระดูก (ossuary) ที่มาจากการขุดสุสานตอนก่อสร้างโบสถ์และจากการล้างสุสาน ต่อมาเมื่อมีการล้างสุสาน กระดูกทั้งหมดที่ขุดขึ้นมาก็ถูกนำไปเก็บเอาไว้ในห้องใต้ดินของโบสถ์ กองทับถมกันอยู่หลายร้อยปี จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1870 ช่างแกะสลักไม้ชื่อ Frantisk Rint ได้รับมอบหมายจากขุนนางแห่งตระกูล Schwarzenberg ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่เป็นสุสาน ให้ตกแต่งห้องเก็บกระดูกใต้ดินและโบสถ์ Frantisk Rint ก็เลยถือโอกาสแสดงฝีมือและแสดงความเป็นศิลปินด้วยการนำเอากระดูกมนุษย์ที่มีอยู่ในห้องเก็บกระดูกมาใช้ตกแต่งภายในโบสถ์และห้องเก็บกระดูกใต้ดินอย่างวิจิตรพิสดาร
ที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดก็คือ "โคมไฟระย้า" (Chandelier) ขนาดใหญ่ที่ห้อยอยู่
กลางโบสถ์ โคมไฟประกอบด้วยกระดูกทุกชิ้นที่อยู่ในร่างกายมนุษย์ ซึ่งถือกัน
ว่าเป็นงานศิลปะชิ้นเยี่ยมชิ้นหนึ่ง...
ขอบพระคุณข้อมูลจาก "อาร์ตกาซีน" : http://www.artgazine.com