ชีวิตพิศวงของไอน์สไตน์


 

อัลเบิร์ด ไอน์สไตน์ เป็นชื่อของนักวิทยาศาสตร์หลายสัญชาติ ผู้ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี 1921 เขาเป็นเจ้าของสมการ E = mc2 อันลือลั่น และนิตยสารไทม์ได้ยกย่องเขาเป็น "บุคคลสำคัญแห่งศตวรรษ"

ขณะที่ชาวโลกส่วนใหญ่นำผลงานและทฤษฎีวิทยาศาสตร์ของไอน์สไตน์มาเป็นหัวข้อการสนทนากันอย่างสนุกปากและชื่นชม คนกลุ่มหนึ่งกลับสนใจชีวิตที่น่าพิศวงของเขา ผู้ที่สนใจศึกษาไอน์สไตน์ต่างยอมรับว่า ชีวิตของชายร่างเล็ก ผมฟู หนวดดำเป็นปื้น หน้าตาใจบุญ อารมณ์ดี น่าฉงนจริงๆ


โดยกำเนิดเขาเป็นชาวเยอรมันเชื้อสายยิว เพราะเกิดที่เมือง Ulm ประเทศเยอรมนี เรียนจบมัธยมที่ Aarau ซึ่งเป็นเมืองเล็กในสวิตเซอร์แลนด์ ได้สัญชาติสวิสขณะอายุ 22 ปี อีก 39 ปีต่อมา ก็ได้สัญชาติอเมริกัน

แม้หัวดี แต่เคยสอบตกด้านศิลปะมาแล้วตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยสวิสโปลีเทคนิค


ขณะอยู่เยอรมนี ไอน์สไตน์ไปเยือนสหรัฐอเมริกา แล้ววิจารณ์ว่า "เป็นสังคมไร้ค่าและน่าเบื่อ" แต่ต่อมา เปลี่ยนมุมมองใหม่ เขาพูดในรายการ I am an American ตอนหนึ่งว่า "...ในบางประเทศประชาชนไร้สิทธิทางการเมือง ด้อยโอกาสในการพัฒนาสติปัญญาอย่างเสรี สำหรับชาวอเมริกันส่วนใหญ่แล้ว สถานการณ์แบบนั้นมันสุดทน ในประเทศนี้ยิ่งน่าอดสูหากเราต้องปฏิบัติตามคำสั่งโดยไม่มีสิทธิถาม ดังนั้น การปกป้องและคุ้มครองเสรีภาพ จึงสำคัญเหนือสิ่งใด"

เพราะเขามีเชื้อสายยิว จึงต้องอพยพไปอยู่อเมริกาหลังจากกองทัพนาซีของฮิตเลอร์ยึดอำนาจในเบอร์ลินเมื่อมกราคม 1933 บ้านและทรัพย์สินส่วนตัวในเมือง Caputh โดนยึด โดยหาว่ามีไว้เพื่อขายเอาเงินไปสนับสนุนกลุ่มต่อต้านนาซี

ยุคนาซีของฮิตเลอร์คลั่งลัทธิทหาร ไอน์สไตน์เกลียดจนกลายเป็นนักต่อต้านสงคราม หลังอพยพเข้าอเมริกา เขาใช้วิธีต่อต้านแบบอหิงสา แต่เมื่อไม่สามารถหยุดยั้งลัทธิฟาสซิสต์ได้ จึงเปลี่ยนทัศนคติโดยรับตรงๆ ว่า "คงไม่มีใครรักษาอุดมการณ์อหิงสาไส้ได้โดยปราศจากการเสี่ยงที่จะปล่อยให้โลกตกอยู่ในอุ้งมือของศัตรูตัวร้ายของมวลมนุษยชาติ ผมเสียใจที่ต้องพูดแบบนี้เพราะไม่มีทางอื่นอีกแล้ว" ทำให้กลุ่มผู้เทิดทูลลัทธิอหิงสาและต่อต้านสงครามพากันโกรธแค้นที่เขาทิ้งอุดมการณ์

หลังจากฮิตเลอร์ยึดครองเชคโกสโลวาเกียได้สำเร็จ มีแนวโน้มว่าจะพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์จากแร่ยูเรเนียมที่ยึดได้ ไอน์สไตน์กับนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำอีกสองคนทำหนังสือถึงประธานาธิบดีโรสเวลท์ให้เปิดโครงการพัฒนาระเบิดปรมาณูโดยด่วนเพื่อสะกัดกั้นไม่ให้นาซีครองโลก โครงการแมนฮัตตันจึงเกิดขึ้น ผลที่ตามมาคือ เมืองฮิโรชิม่าและนางาซากิของญี่ปุ่นแหลกเป็นจุล คนตายนับแสน ทำให้ไอน์สไตน์หันกลับไปต่อต้านการเสริมสร้างแสนยานุภาพทางทหารอีกครั้ง

แม้จะเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้เสนอโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ แต่ไอน์สไตน์กลับไม่ได้มีส่วนร่วมกับการผลิต เพราะผู้รับผิดชอบโครงการคือหน่วย G-2 เริ่มแคลงใจในความจงรักภักดีต่อสหรัฐของเขา


ชายผู้นี้ก็เหมือนเราๆ ท่านๆ เคยผ่านการลองผิดลองถูกมาแล้ว อาจแตกต่างจากบางคนตรงที่เป็นคนขี้สงสัยและรั้นที่จะหาคำตอบของคำถามที่สงสัย

"ผมไม่ได้มีพรสวรรค์มากกว่าคนอื่น แต่อยากรู้อยากเห็นมากกว่าคนทั่วไปโดยเฉลี่ย จะไม่ยอมแพ้กับปัญหาจนกว่าจะได้คำตอบที่ถูกต้อง" ไอน์สไตน์กล่าว

ไอน์สไตน์เป็นคนมีอารมณ์ขัน เมื่อหนังสือพิมพ์ของนาซีตั้งค่าหัว 50,000 เหรียญ เขาเหน็บว่า "ไม่ยักรู้ว่า ค่าตัวผมแพงถึงขนาดนั้น"

คารมคมคายเป็นอีกเสน่ห์ของชายผู้นี้ ดูตัวอย่างข้างล่าง

"หากพิสูจน์แล้วว่า ทฤษฎีสัมพันธภาพของผมถูกต้อง ชาวเยอรมันจะบอกว่าผมเป็นคนเยอรมันชาวสวิสจะบอกว่าผมเป็นคนสวิส ส่วนชาวฝรั่งเศสจะยกย่องว่าผมเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่หากมันไม่ถูกต้อง ชาวฝรั่งเศสจะบอกว่าผมเป็นคนสวิส ชาวสวิสจะบอกว่าผมเป็นคนเยอรมัน ข้างชาวเยอรมันจะเรียกผมว่าคนยิว"

"วางมือบนเตาร้อนเพียง 1 นาที ดูราวกับ 1 ชั่วโมง แต่หากนั่งอยู่กับเด็กสาวสวย 1 ชั่วโมง มันเหมือนแค่นาทีเดียว นั่นคือ สัมพันธภาพ"

อย่างหนึ่งที่ไอน์สไตน์เหมือนดาราตลกเทพ โพธิ์งาม เขาเกลียดถุงเท้า ไม่ชอบใส่ถุงเท้าลองไปฟังเหตุผลของเขา

"ตอนหนุ่มๆ หัวแม่เท้าที่ใหญ่มักแทงทะลุถุงเท้าจนขาดเป็นรู เลยไม่ใส่มันอีก"

แฟ้มลับเอฟบีไอ - ตามล่าไอน์สไตน์


J. Edgar Hoover

อีกเสี้ยวชีวิตหนึ่งของ ไอน์สไตน์ ที่แทบจะไม่มีผู้ใดทราบเพราะถูกปิดไว้เป็นความลับตลอดมา นั่นคือ เขาเป็นบุคคลที่สำนักงานสืบสวนสอบสวนกลางสหรัฐ ซึ่งเรียกสั้นๆ ว่า เอฟบีไอหมายหัว

เรื่องนี้ลับเสียจนบุคลากรในองค์กรเอฟบีไอ(ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง) ก็ไม่ทราบ


จึงเกิดคำถามขึ้นมาว่า เหตุใดเอฟบีไอเปิดแฟ้มลับไอน์สไตน์? ทำไมต้องลับถึงขนาดนั้น? เหตุใดซีกนี้ของชีวิตจึงนิ่งอยู่ในแฟ้มลับเอฟบีไอโดยไม่ปรากฏในสารบบประวัติไอน์สไตน์ที่ชาวโลกควรได้รับรู้? มีเหตุผลใดที่ผู้เกี่ยวข้องต้องการกลบฝังมิติส่วนนี้?

ทำไม!! ไอน์สไตน์จึงกลายเป็นบุคคลที่เอฟบีไอต้องการตัว? เบื้องหน้าเบื้องหลังหรือความจริง เป็นอย่างไรกันแน่?


จน เฟร็ด เจโรมี่ นักเขียนเรื่องวิทยาศาสตร์สามารถเข้าถึงแฟ้มลับดังกล่าว จึงพบหลักฐานที่ชี้ให้เห็นความพยายามของเอฟบีไอในยุคที่ เจ. เอ็คการ์ ฮูเวอร์ (J. Edgar Hoover ) เป็นหัวหน้าหน่วยในตำแหน่งผู้อำนวยการคนแรกและครองตำแหน่งยาวนานที่สุด ร่วมกับวุฒิสมาชิกแม็คคาร์ธี่ เจ้าของสิทธิแม็คคาร์ธี่ที่โด่งดังทั่วโลก ด้วยความร่วมมือของหน่วยงานอื่นอีก 7 แห่ง เป็นอย่างน้อย เช่น หน่วยสืบราชการลับของ 3 เหล่าทัพ ซีไอเอ กระทรวงต่างประเทศ ที่จะกำจัดนักวิทยาศาสตร์เลื่องชื่อผู้นี้

ขณะเดียวกัน สำนักงานคนเข้าเมืองสหรัฐก็พยายามหาทางถอนสัญชาติอเมริกันของเขา เอกสารในแฟ้มลับหนาถึง 1,800 หน้า หลังจากหนีภัยนาซี พาครอบครัวอพยพเข้าสหรัฐ และได้สัญชาติอเมริกัน ไอน์สไตน์เข้าไปมีบทบาทต่อสิ่งที่สรุปได้ว่า "พันธกรณีที่มีต่อโลกและสังคม" จึงหนีการเมืองระดับชาติและโลกไม่พ้น นำชื่อเสียงด้านวิทยาศาสตร์ของเขาไปสนับสนุนกลุ่มหรือองค์กรต่างๆ ที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกัน

"ธงเป็นสัญลักษณ์ของความจริงที่ว่า มนุษย์ยังคงเป็นสัตว์ที่อยู่กับเป็นฝูง" นี่คือวาทะของเขาที่ชวนให้คิดในยุคลัทธิแม็คคาร์ธี่เฟื่องฟูและเสรีภาพของประชาชนถูกริดรอน

ช่วงหนึ่ง ไอน์สไตน์ต่อต้านสงครามถึงขนาดยุให้ทหารอเมริกันขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาที่สั่งให้เข้าสงคราม เขายุยงชาวอเมริกันที่ถูกริดรอนเสรีภาพให้ท้าทายอำนาจรัฐ ความเป็นสังคมนิยมของเขาและการเข้าไปเกี่ยวข้องกับกลุ่มต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ทำให้เอฟบีไอมองว่าไอน์สไตน์มีพฤติการณ์เป็นคอมมิวนิสต์และบ่อนทำลายความมั่นคงของรัฐ


สำหรับบางคน ไอน์สไตน์เป็นบุคคลอันตราย และยิ่งอันตรายเป็นทวีคูณ เพราะเขาเป็นความภูมิใจและชื่นชอบของคนทั่วโลก ดังเช่นที่กลุ่มสตรีผู้รักชาติซึ่งพยายามกำจัดไอน์สไตน์ออกจากอเมริกากล่าวว่า "คนต่างด้าวรายนี้เป็นนักปฏิวัติที่ทรงอำนาจกว้างขวางกว่าผู้อื่นใดในโลก"

ทั้งหมดนั้น เป็นเสี้ยวหนึ่งของบุคคลผู้น่าฉงนแห่งยุค
 

17 มี.ค. 53 เวลา 20:39 3,190 2 30
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...