Time Machine และการเดินทางข้ามกาลเวลา

นับตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันได้มีการนำเรื่องนี้ไปเปิดประเด็นถกเถียงกันอยู่ตลอดเวลา ตลอดจนมีนิยาย หนังสือ รวมไปถึงภาพยนตร์ที่มีไทม์ แมชชีนเข้าไปเกี่ยวข้องอยู่มากมายเลยครับมันเป็นความฝันสำหรับนักวิทยาศาตร์ และความอยากรู้อยากเห็นของบรรดาผู้อยากที่จะรู้อดีต ทำนายอนาคต เป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์ที่ยังคอรอการพิสูจน์และทำให้มันเป็นจริงขึ้นมานับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน……กับเครื่องจักรพิศวง ไทม์ แมชชีน


อืมม มีความเป็นไปได้แค่ไหน สำหรับทฤษฎีเรื่องการย้อมและข้ามเวลาน่ะเหรอครับ ? เป็นไปได้หรือไม่ล่ะกับการสร้างไทม์ แมชชีนขึ้นมา ? คำถามเหล่านี้ จะว่าไปแล้วก็มีมานานนับศตวรรษและกำลังรอคอยผู้ที่จะมาตอบให้กระจ่างชัดอยู่นาเนี่ย ~ แต่จนบัดนี้เหล่าอัศวินม้าขาวที่จะมาไขปริศนานั้นเล่า มัวไปงมอยู่ที่ไหนหว่า ? แต่บรรดาเหล่าอัศวินพวกนี้หาใช่ใครอื่นไม่ครับ…… พวกเขาคือบรรดานักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ของโลกที่กำลังทุ่มเทการวิจัยเรื่องนี้กันอย่างหนัก ก็เริ่มมีเค้าของความเป็นไปได้เพิ่มขึ้นมากสำหรับเรื่องไทม์ แมชชีนหรือการท่องเวลาออกมากันบ้างแล้ว (โอ๊ะ ตื่นเต้น จริง หุ หุ) โดยบรรดานักวิจัยจากแคลิฟอร์เนียและกรุงมอสโควเค้าประกาศออกมาแล้วว่า การท่องเวลา (Time Travel) นั้น มีความเป็นไปได้อยู่ทีเดียว !!!! ซึ่งพวกเค้าได้สร้างห้องแล็ปที่เรียกว่า TARDIS ขึ้นมา และเริ่มทดลองโดยนำพื้นฐานมาจากสมการของนักฟิสิกส์เอกของโลก อัลเบิร์ท ไอนสไตน์ (Albert Einstein) นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้กล่าวว่ามันอาจยากมากในการวิจัยและทดลองให้มันเป็นจริงหรือใกล้ความจริง แต่ก็มีความเป็นไปได้มากทีเดียว อ๊ะ เริ่มใกล้ความจริงเข้าไปอีกก้าวแล้วหรือว่ากำลังถอยหลังลงคลองเพราะงมผิดทาง อันนี้ก็ต้องรอชมต่อไปครับ O_O


บางทีอาจจะดูเหมือนเป็นการฝืนกฎของธรรมชาตินะครับ ที่บัญญัติเอาไว้ว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องดำเนินครรลองไปข้างหน้าเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์ที่จะกระทำตัวเหนือธรรมชาติอย่างนี้ แน่นอนว่าธรรมชาตินั้นมีสิทธิ์ขาดในการดูแลจัดสรรปันส่วนทุกอย่างบนโลกนี้ได้อย่างลงตัวและถูกต้องมากที่สุดแล้ว กระนั้นมนุษย์เราก็ยังอาจหาญที่จะฝืนธรรมชาติในกฎเกณฑ์หลายๆ อย่าง เช่น การตัดต่อพันธุกรรมซึ่งกระทำตนประดุจเป็นพระเจ้า เริ่มที่จะสร้างเครื่องข้ามเวลาและการคิดค้นยาอายุวัฒนะ ซึ่งเป็นกฎเหล็กของธรรมชาติที่มนุษย์เราไม่ควรฝ่าฝืน แหม พูดเรื่องเหมือนศาสนามั๊ยเนี่ย อิอิ เอ้า มาว่าเรื่องไทม์ แมชชีนกันต่อดีกั่ว การท่องเวลานั้นบางทีฟังดูเหมือนว่ามันจะเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันเอง (Paradoxes) อยู่ในหลายๆ ด้าน ลองจินตนาการถึงถ้าวันหนึ่งเราสามารถที่จะประดิษฐ์เครื่องไทม์ แมชชีนได้สำเร็จและเดินทางย้อนไปยังอดีตและเกิดนึกสนุกขึ้นมาทำให้คุณพ่อคุณแม่ของเราไม่ได้พบกัน และทำให้เราไม่ได้เกิดขึ้นมา และพอเรากลับมายังอนาคต ซึ่งเราก็ยังเป็นตัวเราอยู่ ?? ดูแล้วเข้าใจมั๊ยครับว่ามันออกจะแปลกๆ ในเมื่อเราในอดีตไม่ได้เกิดมา แล้วตัวเราในอนาคตหรือในขณะนี้นั้นเป็นใคร ?? เป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจจะมีอนาคตของหลายๆ มิติอนาคต ซึ่งจะแยกย่อยออกไปตามเหตุการณ์ที่เจอหรือเกิดขึ้นตามแต่ละมิติเวลาในช่วงนั้น (ตรงนี้ก็คล้ายที่มีในดรากอนบอลนะ อิอิ)

จากความคิดตรงนี้ละครับที่ทำให้มันดูเหมือนว่าการย้อนเวลาขัดแย้งกันเองด้วยกฎของธรรมชาติอย่างที่ว่าไป ถ้าคิดในอีกแง่หนึ่งก็คือ อดีต เป็นสิ่งที่แตะต้องไม่ได้ เราไม่สามารถทำอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาได้แล้ว ครับแน่นอนว่าอาจจะคิดได้ในแง่ว่าช่วงเวลาของอดีตหรือของอนาคตที่มีนั้นมีอยู่เพียงมิติเดียว แต่ถ้ามีอยู่หลายมิติเวลาล่ะก็เป็นอีกเรื่องนึง !!! ดูแล้วอาจจะงงกันหน่อยนะครับ ผมเองก็งง 55555 ส่วนที่กล่าวไปก็คือกลุ่มที่มีข้อโต้เถียงเรื่องที่ว่าการท่องเวลานั้นเป็นไปไม่ได้นั่นเอง

ทีนี้ลองมาคุยกันถึงเรื่องสมการทฤษฎีสัมพัทธภาพ (Theory of Relativity) ของไอน์สไตน์ดูบ้างว่าสมการนี้บอกถึงอะไร อ้อ ลืมไป อาจจะมีบางคนจำเรื่องที่ผมเคยนำไปลงไว้ที่เวบบอร์ดได้นะครับเรื่อง Time Travel นี้ละ ซึ่งตรงนั้นได้อธิบายเรื่องราวไปพอสมควรและมีการกล่าวถึงสมการของไอน์สไตน์ ทฤษฎีหลุมดำและหลุมขาว ที่ผมเล่าไป ซึ่งคิดว่าน่าจะยังอยู่ในบอร์ด ลองหาอ่านดู อิอิ มาต่อกันถึงเลย นาย Roger Penrose นักวิทยาศาสตร์วิจัยจาก Oxford University เคยได้เสนอทฤษฎีของเขาเรื่องที่ว่าเมื่อมวลวัตถุถูกดูดเข้าไปนั้นจะไปอยู่ยังใจกลางของหลุมดำด้วยแรงดึงดูด ซึ่งตรงนั้นเรียกว่า Singularity และเจ้ามวลวัตถุชิ้นนั้นก็จะถูกบดขยี้เป็นโจ๊กเละไป เป็นทฤษฎีที่มีมา 30 ปีแล้ว (เก่าไปมั๊ยเนี่ย) แต่ทว่าครับ ในปี 1960 นักคณิตศาสตร์ชาวนิวซีแลนด์ Roy Kerr (เอาของเก่ามาเล่าจนได้ในที่สุด หึ หึ หึ) ได้พบว่าหลุมดำนั้นมีอะไรบางอย่างที่ไม่ธรรมดา เขาพบว่าช่วงที่เรียกว่า Singularity นั้นมีการขยับหรือขยายตัวเป็นวงแหวน



ถ้านึกไม่ออกลองจินตนาการถึงโดนัทซิครับ ตรงนี้และครับที่ Roy คิดว่าถ้าสามารถที่จะผ่านรูตรง Singularity และออกมาได้ ก็อาจจะไปโผล่เอาที่หรือเวลาอื่นได้ เขาตั้งทฤษฎีนี้ว่า Roy Solutionแต่กว่าจะเป็นที่ยอมรับให้ความสนใจและศึกษากันต่อก็มาเอาในอีก 10 ปี ให้หลัง ในปี 1970 นั่นเอง หลังจากที่ค้นพบว่ามีหลุมดำอยู่ในแกแล็คซี่ทางช้างเผือกของเราและในใจกลางของแกแล็คซี่อื่นๆ อีก ทำให้เริ่มมีการสนใจ ศึกษาและค้นคว้ากันอย่างจริงจังเพิ่มมากขึ้น ต่อมาในปี 1980 Rip Thorne หัวหน้าของ CalTech ซึ่งเป็นกลุ่มที่เชี่ยวชาญเรื่องทฤษฎีสัมพัทธภาพของโลกได้เคยทำการพิสูจน์และได้บทสรุปที่ว่า ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์เรื่องท่องเวลาน่ะ ไม่น่าจะเป็นจริงได้ แต่…มีแต่ครับ เค้าก็บอกนิดๆ ว่าถ้ามีเทคโนโลยีหรือเครื่องมือที่พอจะสามารถจับหรือควบคุมหลุมดำเอาไว้แล้วศึกษาให้ดีก็ไม่เหมือนกัน ซึ่งตรงจุดนี้ก็ไปตรงกับข้อสันนิษฐานของทฤษฎี Kerr Solution และอีกข้อสันนิษฐานอีกข้อหนึ่งของ Kerr Solution ก็กล่าวว่าบางทีหลุมดำอาจจะไม่ได้มีเพียงชนิดเดียว หรือก็คืออาจจะมีหลุมดำที่เป็น "ประตู" อยู่ หรือที่เรียกประตูนี้เรียกว่าหลุมหนอน (Wormhole) เจ้าหลุมดำชนิดนี้แหละครับที่ว่ามันเป็น ประตูสู่โลกกว้าง เอ๊ย ไม่ช่ายยย ประตูสู่กาลเวลาต่างหาก ซึ่งเป็น…ขอเรียกง่ายๆ ว่า "โพรง" ก็แล้วกัน เป็นตัวเชื่อมระหว่างหลุมดำในมิติหรือจักรวาลอื่น หรือที่เรียกได้ว่าเป็น Multiverse โดยใช้หลักการที่เรียกว่าการ Warp ซึ่งต่อมาภายหลังจากหนัง Sci-Fi เราจะเห็นลักษณะของการ Warp เป็นไปในรูปของการเดินทางข้ามจักรวาลอย่างเร็วแบบเข้าสู่ Hyper Space ซึ่งก็มีอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ผ่านกาลเวลา


 

 



มีหนังสือน่าสนใจมาแนะนำกันครับ ชื่อเรื่อง "HyperSpace" เขียนโดย Michio Kaku ศาสตราจารย์ทางฟิสิกส์ เป็นหนังสือที่ได้รวบรวมบทสรุปงานวิจัยเกี่ยวกับการท่องเวลาไว้ เรื่อง Big Bang หรือที่ว่าเป็นการระเบิดครั้งใหญ่ที่สร้างจักรวาลขึ้นและ String Theory รวมไปถึงเรื่องหลุมดำและ babies universes จักวาลที่กำลังเกิดขึ้นใหม่ แต่บทที่น่าสนใจมากที่สุดก็เห็นจะเป็นเรื่อง How to build Time Machine หรือจะสร้างไทม์ แมชชีนได้ยังไงนั่นเอง เค้าว่าเอาไว้อย่างนี้ครับ consists of two chambers, each containing two parallel metal plates. The intense electric fields created between each pair of plates rips the fabric of space-time, creating a hole in space that links the two chambers. ลองจินตนาการเอาดูกันนะครับ



แต่สำหรับเทคโนโยลีในปัจจุบันก็อย่างรู้กันยังไม่สามารถทำได้อย่างที่ Michio ว่าเอาไว้ มาต่อกันที่ทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์เค้ากล่าวว่าเวลานั้นจะไหลช้าต่อวัตถุที่เคลื่อนไหวเร็วและ Michio ก็นำมาอธิบายในเรื่องของทฤษฎีการทำงาน ซึ่งเค้าจำลองว่าห้องด้านหนึ่งเวลาจะไหลธรรมดาแต่อีกด้านหนึ่งจะไหลเร็วหรือช้า ซึ่งตรงกลางระหว่างห้องทั้งสองนี่แหละครับที่เขาจำลองให้เป็นหลุมหนอน ตามทฤษฎีและข้อสันนิษฐานของ Michio วัตถุที่เข้าไปยังปากทางด้านหนึ่งเมื่อไปโผล่อีกด้านหนึ่งก็ยังจะคงสภาพนั้นไว้ แม้แต่ในแง่ของการเดินทางย้อนหรือข้ามเวลาก็ตาม ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก แต่ก็ว่ากันไปละครับ จริงหรือไม่จริง สำเร็จหรือไม่สำเร็จ ก็ต้องดูกันต่อไป

มาถึงบทส่งท้ายสำหรับ Time Machine The Revisited : Episode 1 (ชื่อยาวจิ๊บ -_-) กันอีกหน่อยกับเรื่อง Time Machine ทั้งหมดที่นำเสนอมาก็อาจจะดูเหมือนสิ่งที่ยังคงเป็นความฝันหรือเกินความจริงไปในเวลานี้ อาจจะเหมือนกับพิภพคู่ขนาน (Parallel Universe) ที่เป็นทฤษฎีหรือเรื่องที่กล่าวถึงมากอยู่เหมือนกันว่ามันมีอยู่จริง ก็ไม่รู้ว่าจะงงๆ กันไปบ้างหรือเปล่ากับตอนนี้ (ผมก็งง อิอิ) ก็เป็นสิ่งน่ารู้ส่วนหนึ่งเกี่ยวกับเรื่อง Time Machine ละ หวังว่าคงถูกอกถูกใจกันบ้างนา ไว้เจอกันคราวหน้าครับ กับ TMTR : Episode 2 สวัสดีครับ _O_

 

16 มี.ค. 53 เวลา 12:16 6,105 7 54
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...