หลังรถดับเพลิงไปถึงจึงได้ช่วยกันฉีดนํ้าดับเพลิงที่ยังลุกไหม้อยู่เท่านั้น พบว่ากุฎิดังกล่าวนั้นเป็นของ หลวงตาสิน ทานะวะโร อายุ 80 ปี พระลูกวัดราษฎร์สมานฉันท์ จําพรรษาอยู่เพียงรูปเดียว แต่ขณะเกิดเหตุเพลิงไหม้หลวงตาสินได้หนีออกมาได้ทัน ก่อนที่เพลิงจะลุกไหม้กุฎิวอดไปทั้งหลัง จนไม่มีอะไรเหลือเลย สิ่งของเครื่องใช้วอดไปกับกองเพลิง ส่วนสาเหตุที่ก่อให้เกิดเพลิงไหม้นั้น ทางเจ้าหน้าที่ตํารวจจะตรวจสอบอีกครั้ง ว่าเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจรหรือไม่
ขณะที่เวลา 00.10 น. วันเดียวกัน ร.ต.อ.กุศล วังสะพันธ์ ร้อยเวร สภ.ศรีวิไล อ.ศรีวิไล จ.บึงกาฬ รับแจ้งเหตุไฟไหม้ศาลาวัดสอนเจริญราษฎร์ บ้านนาสิงห์สาคร หมู่ที่ 1 ต.นาสิงห์ จึงได้ไปตรวจที่เกิดเหตุพร้อมประสานไปยังหน่วยดับเพลิงของเทศบาลตำบลศรีวิไล และ อบต.นาสะแบง นำรถดับเพลิง 3 คันไปช่วยดับไฟ ที่เกิดเหตุเป็นศาลาวัดหลังใหญ่สร้างด้วยไม้ทั้งหลังจำนวน 2 ชั้น ไฟกำลังโหมลุกไม้จากชั้นล่างลามติดพื้นกระดานที่เป็นไม้ของชั้นที่ 2 ทั้งชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ดับเพลิงช่วยกันฉีดน้ำ แต่เอาไม่อยู่ เนื่องจากชั้นล่างของศาลาวัดจะเป็นสิ่งของที่ญาติโยมนำมาถวายเก็บไว้เป็นจำนวนมาก เช่น ธูป เทียน เสื่อหมอน ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี จึงใช้เวลาดับไฟอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมง ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาตลอดเวลาแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ไฟจึงเผาผลาญศาลาวอดไปทั้งหลัง ค่าเสียหายเบื้องต้นประมาณ 10 ล้านบาท
สอบสวนเบื้องต้นทราบว่าก่อนเกิดเหตุมีฝนตกฟ้าคะนองตลอดเวลา ฟ้าคงผ่าในระยะใกล้วัดแล้วอาจมีกระแสส่วนหนึ่งวิ่งเข้าสายไฟฟ้าภายในวัดทำให้ไฟลัดวงจร เนื่องจากศาลาวัดเปิดไฟส่องสว่างไว้หลายดวง ประกอบกับสายไฟเก่าจึงทำให้เกิดไฟไหม้ได้ดังกล่าว
ด้านนายบัวเรียน ชมชื่น อายุ 46 ปี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบหรือ ผรส. กล่าวว่า สร้างศาลาวัดหลังเกิดไฟไหม้ สร้างเมื่อ พ.ศ.2507 ขนาดกว้าง 16 เมตร ยาว 40 เมตร เสา 52 ต้น เป็นไม้แดง 50 ต้น ไม้มะค่าแต้ 2 ต้น เป็นเสากลมขนาดใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลาง 35-45 ซม. ยาวต้นละ 6 เมตร พื้นชั้นล่างปูกระเบื้อง ชั้นบนพื้นไม้ตะเคียนทั้งหมด จะต้องสร้างขึ้นใหม่เพื่อเป็นที่จัดงานประเพณีของหมู่บ้าน เช่น งานบุญผะเวด บุญเดือนสามเดือนสี่ เป็นศาลาฉันข้าวของพระสงฆ์แต่คงใช้เวลาอีกนานถึงจะเสร็จ เบื้องต้นคงใช้ศาลาชั่วคราวไปก่อน