เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก pttgc-oilspill.com
ปตท. เผยภาพอ่าวพร้าวใสแล้ว พร้อมขนขยะปนเปื้อนออกจากพื้นที่ จัดทีมเฝ้าระวังกำจัดฟิล์มน้ำมันหลงเหลือ เตรียมลงพื้นที่สำรวจผลกระทบจัดทำแผนฟื้นฟูต่อไป ขณะที่ กมธ.ท่องเที่ยว วอนอย่านำเสนอข่าวแต่แง่ลบ แนะรัฐทบทวนสัมปทานขุดเจาะน้ำมันใกล้เกาะ
เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2556 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่เว็บไซต์ pttgcgroup.com บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล หรือ PTTGC ได้เผยถึงความคืบหน้าการขจัดคราบน้ำมันดิบที่รั่วไหล ทะลักเข้าชายหาดอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด จ.ระยอง ว่า ขณะนี้ได้ทำการลำเลียงและขนส่งขยะปนเปื้อนน้ำมันดิบออกจากบริเวณอ่าวพร้าวแล้ว โดยนำไปรวบรวมไว้ที่โรงกลั่นน้ำมันเพื่อนำไปตรวจสอบ แยกประเภท และส่งกำจัด ตามมาตรฐานที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมกำหนดไว้
นอกจากนี้ ทางนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้จัดทีมขจัดคราบน้ำมันมาอำนวยความสะดวก โดยลงพื้นที่ขจัดคราบทำความสะอาดโขดหินด้วยการฉีดน้ำแรงดันสูงและเช็ดคราบชายหาดให้กลับคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด
ขณะเดียวกันทาง PTTGC ก็ได้คงมาตรการเฝ้าระวังทางเรือ โดยใช้เรืองจำนวน 5 ลำ ระวังและตรวจสอบในทะเล พร้อมวางบูมกั้นและจัดทีมเฝ้าระวังติดตามกำจัดฟิล์มน้ำมัน หากมีหลงเหลือและถูกพัดมายังชายหาด อีกทั้งยังจัดให้มีเรือตรวจรอบเกาะตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม ทาง PTTGC ยังได้กล่าวถึงจิตอาสาที่เข้ามาช่วยเหลือขจัดคราบน้ำมันบริเวณชายหาด โดยระบุว่ามีหน่วยงานที่เข้ามาสมทบประมาณ 900 คน ขณะที่ทีมงานจากสาธารณสุขจังหวัดระยอง ได้สนับสนุนจัดทีมพยาบาล มาตั้งจุดปฐมพยาบาลเบื้องต้น จุดเฝ้าระวังสุขภาพและสุขอนามัยของผู้ปฏิบัติงานและจิตอาสาทุกวัน
พร้อมกันนี้ ทางผู้บริหารก็ยังคงลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องเพื่อรับฟังข้อร้องเรียนและเก็บข้อมูลผลกระทบจากชุมชน ทั้งผู้ประกอบการ และบุคคลทั่วไป เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนที่สุด เพื่อทำมาจัดทำแผนฟื้นฟูทางด้านสิ่งแวดล้อมทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ส่วนสภาพแวดล้อมนั้นเบื้องต้นยังคงทำการสำรวจผลกระทบทั้งทางบก และทางน้ำ ตั้งแต่ หาดสวนสน ก้นอ่าว หาดหินขาว เขาแหลมหญ้า หาดแม่รำพึง
ส่วนทางด้านศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงทะเลอ่าวไทยฝั่งตะวันออก กรมประมง และกรมวิทยาศาสตร์ทหารเรือยังคงเก็บตัวอย่างปลาและสัตว์น้ำตามจุดต่าง ๆ รอบเกาะเสม็ด เพื่อส่งไปตรวจสอบอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชน
ขณะที่ นางธันยรัศม์ อัจฉริยะ ส.ว.ภูเก็ต ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การท่องเที่ยว กล่าวว่า จากการนำเสนอข่าวน้ำมันดิบรั่วนั้น ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ทั้งที่ข้อเท็จจริงเกิดขึ้นเพียงบางส่วนเท่านั้นไม่ใช่ทั้งหมด แต่ภาพที่เผยแพร่ออกไปทั่วโลกกลายเป็นว่า ทะเล ชายหาด และปะการัง ของเกาะเสม็ดถูกทำลายไปทั้งหมด ทำให้นักท่องเที่ยวไม่กล้ามา
นางธันยรัศม์ แสดงความคิดเห็นว่า สื่อไม่ควรจะให้ข่าวทางด้านลบอย่างเดียว เพราะพื้นที่เกาะเสม็ด 90% ยังดีอยู่ ส่วนความเสียหายที่เกิดขึ้นก็เป็นเรื่องที่จะต้องดำเนินการฟื้นฟูกันต่อไป และหลังจากนี้ควรแก้ไขภาพพจน์เพื่อสร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยวกลับคืนมา แต่คงต้องใช้เวลานานพอสมควร ตนจึงอยากให้รัฐบาลใช้วิกฤติเป็นโอกาส เชิญชวนบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับโลกมาเที่ยวเกาะเสม็ด
นางธันยรัศม์ กล่าวต่อว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทางการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) และรัฐบาล ต้องระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก และที่ผ่านมารัฐมักนำผลประกอบการด้านการท่องเที่ยวมาโฆษณาเป็นผลงานว่าทำรายได้เข้าประเทศเป็นอันดับที่ 2 แต่จริง ๆ แล้วรัฐไม่เคยเข้าใจเรื่องท่องเที่ยวอย่างแท้จริง ซึ่งตนอยากจะฝากถึงทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องว่า เกาะสมุย เกาะพงัน ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดับต้น ๆ ของประเทศ แต่อยู่ใกล้แท่นขุดเจาะน้ำมันไม่กี่กิโลเมตร เลยอยากให้ตรองดูสักนิดว่า ระหว่างรายได้ที่ยั่งยืนของประเทศและคนในพื้นที่กับอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ที่ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ตกเป็นของบริษัทต่างชาติ จะเลือกอะไร แต่หากเป็นไปได้ตนอยากให้มีทบทวนยกเลิกสัมปทาน
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก