ทำไมถึงต้องเลิกรับน้อง

 

 

 

ทำไมถึงต้องเลิกรับน้อง

 

 

   1. การอ้างว่าการรับน้องเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมายาวนาน เป็นการเคารพความอาวุโสแบบไทยนั้นฟังไม่ขึ้น เพราะระบบ SOTUS เอามาจากฝรั่ง และฝรั่งเอง คือในเมืองแม่ที่เป็นต้นตำรับของ โซตัสก็ไม่มีที่ไหนมีระบบการว๊าก หรือรับน้องอย่างนี้อีกต่อไปแล้ว เว้นแต่บางแห่งยังคงมี Fag House มี Fraternity Group ซึ่งมีกฏว่าต้องอยู่นอกมหาวิทยาลัยเท่านั้น

           2. การอ้างว่า การรับน้องเป็นการเตรียมตัวให้รุ่นน้องปรับตัว เรียนรู้การอยู่ร่วมกัน รักกัน ช่วยเหลือกันนั้นฟังไม่ขึ้น เพราะถ้าอย่างนั้น มหาวิทยาลัยอีกหลายร้อยหลานพันแห่งทั่วโลกที่ไม่มีประเพณีการรับน้อง นักศึกษาปี 1 เหล่านั้นอยู่กันอย่างไร? ความจริงก็คือว่า นักศึกษาทุกคนพึงได้รับการปฏิบัติอย่างให้เกียรติ ในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งมีวุฒิภาวะที่จะดำเนินชีวิตตามที่ตนเห็นว่าสมควร ไม่พึงมีใครมาอ้างเอาความเป็นรุ่นพี่มารับรองความชอบธรรมในการสั่งสอน ชี้นำ หรือแม้กระทั่งกากำหนด ถูก ผิด ชอบ ชั่ว ดี ให้แก่ใครได้ เพราะประชาชนไทยทุกคนต้องปฏิบัติตัวตามกฎหมายเป็นกรอบใหญ่ๆอยู่แล้ว

           3. สังคมที่เจริญแล้วย่อมไม่มีความเคารพในกันและกันมากกว่าจะรักกันอย่างบ้าคลั่งและไร้เหตุผล ดังนั้น การเคารพในสถาบันการศึกษา หรือ เคารพในรุ่นพี่ ย่อมเกิดจากการคุณูปการที่มหาวิทยาลัยหรือศิษย์เก่ามีต่อสังคม มิใช่ด้วยการสร้างพิธีกรรมละลายพฤติกรรมให้เกิดความรักในสถาบันการศึกษาโดยการอ้างถึงระบบอุปถัมภ์อันอบอุ่นระหว่างรุ่นรุ่นน้อง ถึงที่สุดแล้ว นักศึกษาทุกคนพึงมองสถาบันการศึกษาที่ตนเองสังกัดด้วยสายตาวิพากษ์มากกว่าจะรักหรือคลั่งเพียงเพราะเราได้เรียนที่นี่ หรือเพราะที่นี่มีบุญคุณกับเรา

           4. สังคมที่เจริญแล้วย่อมตั้งคำถามต่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหรือ Unity เพราะสังคมสมัยใหม่ให้ความสำคัญกับความแตกต่างหลากหลาย และการมีขันติธรรมต่อความแตกต่างในความเชื่อและวัฒนธรรมของคนที่อยู่ร่วมกันในสังคม ชื่นชมในอิสรภาพของปัจเจกบุคคล ไม่สนับสนุนการเดินเรียงแถวหน้ากระดานหรือการทำตามคำสั่งอย่างพร้อมเพรียงกัน

           5. ศักดิ์ศรีของมหาวิทยาลัยไม่ได้อยู่ความเก่า ความใหม่ ไม่ได้อยู่ที่เครื่องแบบ ไม่ได้อยู่ที่ความรักความสามัคคีของคนในสถานศึกษานั้นๆ แต่อยู่ที่ผลงานการเรียนการสอนการวิจัย นวัตกรรมใหม่ๆ และการสร้างคุณประโยชน์ให้แก่ประชาคมโลกและเพื่อนร่วมโลก

          6. สำคัญที่สุดคือ มหาวิทยาลัยเป็นพื้นที่ทางปัญญา ปราศจากซึ่งเสรีภาพที่จะกบฏและท้าทายต่อความเชื่อเก่าๆ ประเพณีเก่า ระบบโครงสร้างอำนาจแบบเก่าๆ มหาวิทยาลัยจะเป็นพื้นที่ทางปัญญาให้กับสังคมได้อย่างไร นักศึกษาที่เข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยเข้าไปเพื่อ “ตั้งคำถาม” และ “หาคำตอบ” ให้กับตนเอง โดยมีอาจารย์ และหนังสือเป็นผู้ช่วย มิใช่เข้าไปเพื่อจะ “เชื่อฟัง” หรือ “บูชา” ครูบาอาจารย์ รุ่นพี่ และสถานศึกษาที่ตนเองสังกัดอยู่

          7. อย่าหวาดกลัวการไม่มีรุ่น เพราะการไปเรียนต่อต่างประเทศ การสอบชิงทุนของมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ คุณไม่จำเป็นต้องมี “รุ่น” เพราะไม่มีใครแคร์หรือแม้กระทั่งรู้จัก “รุ่น” ของคุณว่าคืออะไร ยิ่งไปกว่านั้นหากคุณมีประวัติเป็นว๊ากเกอร์ หรือมีประวัติการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากการรับน้อง คุณอาจสูญเสียโอกาสที่จะเรียนหรือทำงานในองค์กรระหว่างประเทศเสียด้วยซ้ำ

          8. หากจะมีการรับน้อง ควรมีอย่างสมัครใจและอยู่นอกมหาวิทยาลัย และ “น้องและพี่” ที่สมัครใจจะเข้าสู่พิธีกรรมการรับน้องต้องรับผิดชอบสิ่งที่จะเกิดขึ้นด้วยตนเองเพราะนั่นเป็น choice ของคุณ

          9. โลกนี้ไม่ได้มีแต่ประเทศไทย โปรดทดสอบความเชื่อของตนเองด้วยการเปรียบเทียบความเป็นไปของประเทศไทยและประเทศอื่นๆบนโลกใบนี้ด้วย เช่น ตั้งคำถามว่าทำไมมหาวิทยาลัยในประเทศที่เจริญแล้วพัฒนาแล้วจึงไม่มีระบบโซตัสและการรับน้องอีกแล้ว

          10. วัฒนธรรมการเมืองไทยมีแนวโน้มสนับสนุนระบอบอำนาจนิยม ไม่ชอบให้ประชาชนมีสิทธิ มีเสียง ท้าทายอำนาจรัฐ ต้องการพลเมืองที่ว่านอนสอนง่าย เชื่อฟังคำสั่ง ไม่ตั้งคำถาม ไม่สงสัย และหลงใหลว่าประเทศที่ตนอยู่นั้นดีแล้ว ประเสริฐแล้ว อย่าเปรียบเทียบกับที่อื่น เราไม่มีอะไรต้องปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ฝรั่งยังชอบข้างเหนียวมะม่วงของเราจะตาย อะไรทำนองนี้ ประเพณีการรับน้องจึงสอดคล้องกับวัฒนธรรมการเมืองไทย และยากจะเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิก

 

 
 
 
Source : postjung
Credit: http://fanthai.com/
1 ส.ค. 56 เวลา 15:35 5,849 2 30
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...