นับเนื่องจากการยกทัพเข้ายึดสี่แยกราชประสงค์ของ "ม็อบเสื้อแดง" เมื่อต้นปี 2553
ทำให้ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทุกครั้งที่มีความขัดแย้งทางการเมือง "ราชประสงค์" ซึ่งเป็นหัวใจหลักทางธุรกิจ และสายเลือดสำคัญของเศรษฐกิจต้องตกอยู่ในทุกเหตุการณ์ความวุ่นวายด้วยเสมอ
เรื่อยมาจนกระทั่งการเดินขบวนเชิงสัญลักษณ์ของกลุ่ม "หน้ากากขาว" ในโมเดลแบบไร้แกนนำที่เริ่มตั้งต้นแยกราชประสงค์สุดทางที่ปทุมวัน หอศิลป์ และมาบุญครอง แบบต่อเนื่องทุกสัปดาห์
จากเดิมที่ย่านการค้าสำคัญที่สุดของกรุงเทพฯ เพราะคือที่รวมศูนย์การค้าทันสมัยที่สุดของประเทศ มีมูลค่าการลงทุนเป็นพันๆ ล้าน จนกระทั่งหลักหลายหมื่นล้าน
จากเดิมที่บรรดาผู้ประกอบการในย่านนั้นเคยคาดหวังว่าวันหนึ่ง จากสี่แยกปทุมวันซึ่งเป็นที่ตั้งของมาบุญครอง ถัดมาคือสยามเซ็นเตอร์ สยามพารากอน เรื่อยมาถึงราชประสงค์ซึ่งมีเซ็นทรัลเวิลด์ตั้งตระหง่าน ต่อเนื่องมาถึงชิดลม เพลินจิต ไล่มาถึงดิเอ็มโพเรียม นี่คือถนนสายช็อปปิ้งไม่แพ้ที่ใดในโลก
ไม่ว่าจะเป็นถนนนาธานของฮ่องกง ออร์ชาดโร้ดของสิงค์โปร์ หรือแม้แต่ฟิฟอเวนิว ของมหานครนิวยอร์ก
ทว่า ทุกวันนี้ราชประสงค์พร้อมที่จะแปรสภาพกลายเป็นเวทีม็อบการเมืองได้ทุกเมื่อ
ต่างจากในอดีตที่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และถนนราชดำเนินคือสัญลักษณ์ที่มั่นสำคัญของผู้เรียกร้องทางการเมือง
ภาวะน้ำท่วมปากจึงหนีไม่พ้นเหล่าบรรดาผู้ประกอบการย่านราชประสงค์-สยาม-ปทุมวัน
ไม่เพียงแต่รายเล็กรายย่อยที่กระทบแต่ยังหมายถึงผู้ประกอบการรายใหญ่ที่หนักอกหนักใจไม่แพ้กัน เมื่อต้องเผชิญกับรายได้และจำนวนลูกค้าที่หลีกเลี่ยงจะไม่มาในทุกๆ วันอาทิตย์ เมื่อกลุ่มชุมนุมมาแสดงพลังทางการเมือง โดยเฉพาะเซ็นทรัลเวิลด์ ของเครือเซ็นทรัลซึ่งได้รับผลกระทบมากที่สุด
ด้านหนึ่ง มาจากแรงกดดันที่ได้รับจากร้านค้าภายในศูนย์ ที่ต้องการทำมาค้าขาย ด้านหนึ่ง หมายถึงแรงกดดันทางการเมือง ที่ไม่ต้องการให้ลานด้านหน้าเซ็นทรัลเวิลด์เป็นพื้นที่รวมพลของม็อบ
เรียกว่าโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง
สิ่งที่เซ็นทรัลเวิลด์ทำได้ในขั้นต่อมาจึงเป็นการส่งหนังสือชี้แจงผ่านสื่อมวลชน โดย บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ส่งหนังสือชี้แจงไปยังสื่อมวลชน ในกรณีที่มีการชุมนุมทางการเมืองที่บริเวณศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ตลอดช่วงที่ผ่านมาว่า บริษัทตระหนักดีว่าการชุมนุมทางการเมืองเป็นสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ
"เซ็นทรัล" แจงจุดยืนและนโยบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ...ขอยืนยันการดำเนินธุรกิจแบบมืออาชีพและความเป็นกลางทางการเมืองอย่างเคร่งครัด ไม่สนับสนุนหรือเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยตรงหรือโดยอ้อม และบริษัทไม่มีนโยบายคัดค้านการชุมนุมทางการเมือง แต่ก็ไม่สนับสนุนให้กลุ่มใดๆ มาใช้พื้นที่ในการชุมนุมหรือเคลื่อนไหวทางการเมืองทุกรูปแบบ
จากก่อนหน้านี้นายกผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ "ชาย ศรีวิกรม์" เจ้าของศูนย์การค้าเกษร ในนาม "กลุ่มประชาธิปไตยไม่ละเมิด" ได้แสดงออกเชิงสัญลักษณ์ผ่านบรรดาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการเข้ามาชุมนุมกว่า 4,000 ราย แสดงพลังต่อต้านการเข้ามาใช้พื้นที่ราชประสงค์-สยาม-ปทุมวัน-เพชรบุรี ของกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองทุกเหล่าสีแล้วเช่นเดียวกัน
แต่เหมือนความหวังจะลอยหาย และสลายไปในอากาศ การ "ขอความเห็นใจ" ไร้สัญญาณตอบรับ เมื่อการชุมนุมยังคงมีต่อเนื่องผ่านโมเดลของกลุ่มการเมืองต่างๆ จากม็อบสารพัดสี ทั้งเหลือง แดง ขาว หน้ากากขาว
ความวุ่นวายทางการเมืองผ่านรูปแบบนัดรวมพล "ราชประสงค์" อย่างต่อเนื่องและยาวนานนี้ จึงเป็นการยากรื้อฟื้นภาพของการเป็นแลนด์มาร์คทางเศรษฐกิจของกรุงเทพฯ
จากประสบการณ์ตรงที่สั่งสมมานาน ผู้ประกอบการย่อมรู้ดีกว่าใคร รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนาน ในการทำงานโปรโมตภาพลักษณ์อย่างหนัก
การปรับปรุงพื้นที่และสิ่งแวดล้อมในย่านราชประสงค์ และแผนกิจกรรมการตลาด-แคมเปญการตลาด ช็อปปิ้ง ร้านอาหาร และที่พัก เหนืออื่นใดคือเรื่องของความปลอดภัย อีกครั้งเทียบกับเมื่อครั้งปี 2553 ต้องใช้เวลานานมากกว่า 6 เดือน
หลังจากนั้นผู้ประกอบการย่านนี้ต้องเสียสละทุนทรัพย์กว่า 50 ล้านบาท เพื่อติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัย เทคโนโลยีล้ำสมัยที่เชื่อมโยง CCTV กว่า 1,300 ตัว เพื่อเรียกความเชื่อมั่น สร้างบรรยากาศการจับจ่ายและท่องเที่ยวในย่านนี้ให้กลับคืน
เหตุการณ์ทำนองนี้ หากเป็นลูกค้าคนไทยไม่น่าห่วงเพราะเข้าใจและอยู่ในภาวะแบบนี้กันมานาน แต่สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ การชุมนุมที่มีความวุ่นวายแต่ละครั้งต้องใช้เวลา
การชุมนุมทุกวันอาทิตย์ของกลุ่ม "หน้ากากขาว" ในปัจจุบัน แม้ว่าจะยังไม่เห็นภาพความรุนแรงในระดับที่เทียบเท่ากลุ่มแดง-กลุ่มเหลือง แต่ก็ย่อมเป็นความวุ่นวายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ไม่เพียงจากจำนวนของผู้ที่มาร่วมชุมนุม แต่ยังรวมถึงทุกครั้งที่มีม็อบออกมา กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกและรักษาความปลอดภัยมีไม่ต่ำกว่า 700-1,000 นาย
ยังไม่นับล่าสุดกับบทบาทการเคลื่อนทัพของ "เสธ.อ้าย" พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ อดีตประธานองค์การพิทักษ์สยาม ที่ส่งสัญญาณเตรียมนำขบวนบุกรอบใหม่ ภายใต้ชื่อใหม่ "คณะร่วมเสนาธิการ" ที่ต้องการขับไล่รัฐบาลภายใต้ระบอบทักษิณออกไป
ผู้ประกอบการศูนย์การค้ายักษ์ใหญ่ซึ่งได้รับผลกระทบจาก "ม็อบสีเสื้อ" เมื่อปี 2553 ย้อนอดีตความทรงจำ ครั้งที่เปลวไฟลุกท่วมเซ็นทรัลเวิลด์ สยามสแควร์ ว่า
"เมื่อเราเป็นศูนย์ขนาดใหญ่ก็จะหนัก เพราะฉะนั้น เราคงต้องดูทั้งหมด ตอนที่ศูนย์การค้าต้องปิดบริการจะช่วยให้เขามียอดขายได้อย่างไร ปีที่แล้วเราปิดไปไม่กี่วันเราก็ช่วยด้วยการไม่เก็บค่าเช่าพื้นที่ แต่ปีนี้นานเป็นเดือนเราจะทำยังไง หรือพอเปิดใหม่ได้แล้วจะทำยังไง ต้องทำมาร์เก็ตติ้งฟื้นฟูให้เขา"
แน่นอนไม่มีใครอยากให้เหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นอีก
ต้องไม่ลืมว่าย่านการค้าแห่งนี้คือศูนย์รวมการค้าขายทุกระดับ ห้าง ศูนย์การค้า ร้านค้าย่อย รานค้าส่ง สถานบันเทิง โรงเรียนกวดวิชา และอีกนานาธุรกิจ
ผลกระทบที่ได้รับไม่ได้หมายถึงศูนย์การค้าใหญ่ๆ ไม่กี่แห่ง แต่มีผู้เกี่ยวข้องเป็นห่วงโซ่อีกมหาศาล รวมไปถึงผู้คนเรือนหมื่นซึ่งใช้เป็นสถานที่ทำงาน หล่อเลี้ยงชีวิต และครอบครัว