ปรากฏการณ์ลึกลับที่หาคำตอบไม่ได้

 

 

 

 

 

Angel Hair

 


“เส้นผมนางฟ้า” เป็นปรากฏการณ์ที่หายากและ ไม่สามารถอธิบายได้ มันมีลักษณะเป็นเส้นคล้ายเส้นไหมและตกลงมาจากท้องฟ้า แต่ถ้าเอื้อมมือไปสัมผัสละก็ มันจะอันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตา เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก

แต่จะพบบ่อยในแถบอเมริกาเหนือ, นิวซีแลนด์, ออสเตรเลีย, และยุโรปตะวันตก ไม่มีหลักฐานยืนยันแน่นอนว่าเกิดจากอะไร หรือแม้กระทั่งมันทำมาจากอะไร

เป็นที่คาดการณ์ว่ามันอาจจะมาจากแมงมุม หรือจากแมลงชักใยชนิดอื่นๆ หรือแม้กระทั่งยูเอฟโอ เนื่องจากมันมักจะเกี่ยวข้องกับการพบเห็นยูเอฟโอ เนื่องจากความบอบบางของมัน จึงเป็นเรื่องยากที่จะเก็บตัวอย่างและวิเคราะห์ เพราะว่ามันมักจะได้รับการปนเปื้อนจากไอเสียรถยนต์และการสัมผัสของมนุษย์ ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงผลทางเคมีได้ 

 

 

The taos hum

 


“เสียงฮัมลึกลับ” เป็นเสียงต่ำแปลกๆ ที่เกิดขึ้นเฉพาะในสหรัฐอเมริกา(ในปี ค.ศ.1977), อังกฤษ และยุโรปเหนือที่มักได้ยินเสียงฮัมต่ำๆ คล้ายๆ เครื่องยนต์ดีเซลแปลกๆ (เช่นเครื่องใช้ในครัวเรือน, เสียงจราจรเป็นต้น)

โดยเจ้าเสียงที่ว่า นี้ดังติดต่อกันตลอดเวลาแต่บางทีก็เว้นจังหวะเป็นระยะแบบสม่ำเสมอกันและ เสียงนี้จะเข้มข้นตอนกลางคืน ทำให้ผู้ได้ยินเป็นประสาทตามๆ กัน โดยเสียงที่ว่านี้จะต้องตั้งใจฟังในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบเท่านั้น เช่นทะเลทรายในนิวเม็กซิโก, เกาะฮาวาย โดยไม่มีใครรู้ว่าต้นเสียงมาจากไหน

ใน ปี 1977 มีการตรวจสอบโดยตรงจากวิทยาศาสตร์จากสถาบันที่มีชื่อเสียงในประเทศอเมริกา โดยทำการสำรวจและวัดคลื่นความถี่ของเสียงปริศนาในท้องที่และรอบๆ เมือง Taos นิวเม็กซิโก (โดยปกติเสียงนี้พบยากต้องใช้ไมโครเฟนพิเศษช่วย) พบว่าเสียงฮัมเบาๆ นี้มีความถี่ของเสียงประมาณ 30-80 Hz แต่เหลือเชื่อ ตรงที่ใช่ทุกคนจะได้ยิน มีบางคนที่ได้ยินเสียงนี่เท่านั้น

โดยจากสถิตพบคนในเมือง Taos ได้ยินเสียงนี้เพียง 2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น  ก็ส่วนสาเหตุไม่พบว่าเสียง ปริศนานี้เกิดจากอะไร บ้างก็สันนิษฐานว่า เป็นหูอื้อ, เสียงลม, คลื่นมหาสมุทร ไม่ก็ยูเอฟโอ ฯลฯ 

 

 

Disappearing Lake

 


ใน เดือนพฤษภาคม 2007 ทะเลสาบ ภูเขาน้ำแข็ง เขต “มากายาเนส” ในปาตาโกเนีย ทางใต้ตอนใต้ของเทือกเขาแอนดีส ประเทศชิลี เกิดอันตรธานหายไปอย่างลึกลับ  อย่างน่าพิศวงทั้งๆ ที่ ขนาดทะเลสาปมีถึง 5 เอเคอร์  หรือในราวๆ สนามฟุตบอล 10 สนาม

โดยเจ้าหน้าที่อุทยานอธิบายว่าพวกเขาเห็นทะเลสาปยังเป็นปกติอยู่ในช่วงสอง เดือนที่ผ่านมา และจู่ๆ มันก็หายไปพริบตา กลายเป็นแอ่งขรุขระขนาดใหญ่ น้ำเหือดแห้งไปหมด มีเพียงก้อนน้ำแข็งจำนวนมากนอนก้นอยู่ จากเดิมที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ ปริศนานี้ทำให้นักธรณีวิทยางงงวยและอยากทราบคำตอบมากว่าเกิดอะไรขึ้น 


ผู้เชี่ยวชาญหลายคน ตั้งทฤษฎีหลายทฤษฏีว่าแผ่น ดินแยกตัว และกลืนน้ำในทะเลสาบลงไป แต่กระนั้นจากการตรวจสอบไม่มีรายงานว่ามีเหตุการณ์แผ่นดินไหวเกิดขึ้นในพื้นที่นี้แต่อย่างใด 

 
 
 
 
 
Dancing Mania


“โรคชอบเต้น” เป็นปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในแผ่นดินยุโรประหว่างศตวรรษที่ 14 และ 18 โดยจะเกิดขึ้นกับกลุ่มคนชายและหญิงที่จู่ๆ เต้นท่าพิลึกโดยไม่ทราบสาเหตุ และจะเต้นรำผ่านถนนหรือในเมืองใหญ่ๆ นอกจากนี้ยังมีฟองที่ปาก และจะหยุดไปเองหากร่างกายอ่อนล้าเพลียและรับไม่ไหว

การระบาดของโรคชอบเต้นนี้ เกิดครั้งแรกในอาเค่น(เป็นเมืองที่อยู่ด้านตะวันตกสุด ของประเทศเยอรมนี ติดกับพรมแดนประเทศเนเธอร์แลนด์และเบลเยียม), เยอรมัน เมื่อ 24 มิถุนายน 1374 ประชาชนที่เดินถนนจู่ๆ ก็แผดร้อง, จิตหลอน และเต้นรำทั้งยังดิ้นและบิดตัว จนกระทั้งหมดแรงแม้กระทั้งจะยืน และแล้วโรคชอบเต้นก็กระจายไปอย่างรวดเร็วไปทั้วยุโรป ทั้งเนเธอร์แลนด์, โคโลญ, เมต้า และตามเส้นทางแสวงบุญ 


ทำให้มีข้อสันนิษฐานว่าโรคนี้เป็นโรคประสาทประเภทโรคอุปทานหมู่มากกว่า และมีการเชื่อมโยงไปความบ้าคลั่งศาสนาของคนยุโรป นอกจากนี้ยังสันนิษฐานอาจจะเกิดจากการกินข้าวไรที่มีเชื้อคลาวิเซพส์ เพอร์พูเรีย(Claviceps purpurea)  ซึ่งเป็นเชื้อราขนาดเล็กที่มีพิษ ซึ่งเป็นยาหลอนประสาทชนิดรุนแรง แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่สามารถหาคำตอบที่แท้จริงได้?

 
 
 
 
Raining Blobs


ชาวเมือง Oakville กรุง วอชิงตัน ต้องประหลาดใจ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 1994 เกิดฝนตกห่าใหญ่ แต่แทนที่จะเป็นฝนธรรมดา ชาวเมืองกลับเห็นลักษณะหยดน้ำฝนแตกต่างกันออกไปทุกครั้ง มันมีลักษณะเหมือนวุ้นเหมือนกาวนับไม่ถ้วนกำลังตกลงมาจากฟากฟ้า

หลังจากนั้นเกือบทุกคนในเมืองมีอาการป่วยเหมือนไข้หวัดขึ้นมาอย่างไม่ทราบ สาเหตุและเป็นนานถึง 7 วัน ถึง 3 เดือน หลังจากสัมผัสและกินฝนวุ้นกาวนี้เข้าไป จึงมีการเอาตัวอย่างหยดน้ำฝนเพื่อตรวจสอบ ก็พบเรื่องตะลึงเพราะในหยดน้ำฝนมีเซลล์เม็ดเลือดขาวของมนุษย์ กรมอนามัยของวอชิงตันวิเคราะห์เพิ่มเติมว่าสาเหตุที่ฝนตกมาเป็นกาววุ้นนั้น มีแบคทีเรียอย่างหนึ่งที่พบในระบบย่อยอาหารของมนุษย์ด้วย

แต่จนบัดนี้ยังไม่มีผู้ใดสามารถอธิบายการเกิดฝนลักษณะนี้ได้เลยว่ามันเกิด จากอะไรกันแน่?

 
 
 
 
 
Globster


กล็อบ สเตอร์ (Globster) เป็นมวลอินทรีย์ลึกลับที่มี่สามารถอธิบายได้ว่ามันคืออะไรกันแน่ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญมักจะตั้งชื่อมันว่า “กล็อบสเตอร์” (Globster) เอาไว้ก่อน

มันมักปรากฏตัวออกมาโดยการเกยตื้นตามชายทะเลหรือมหาสมุทร โดยลักษณะของมันจะเป็นก้อนๆ ไม่มีตา, ไม่มีหัว และโครงสร้างของกระดูกไม่ชัดเจน(แต่บางคนบอกว่ามีตา,มีหัวและโครงหมด) จุดเด่นมีขน” และ “มีเส้นใย” หนังเหนียวมากจนเฉือนแทบไม่เข้า และเมื่อนำเนื้อเยื่อไปตรวจสอบพบว่ามันประกอบด้วยคอลาเจนเป็นส่วนใหญ่ 


ซึ่งแต่ละชิ้นมีขนาดใหญ่โตมากๆ น้ำหนักเป็นตัน และส่งกลิ่นเหม็นเน่า บางชิ้นพบว่ามีรอยการกัดกินของปลาฉลามขนาดใหญ่ หรือรอยฉีดขาดจากการต่อสู้กับปลาหมึกยักษ์ จากการวิเคราะห์เนื้อเยื่อนักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถตอบได้ว่า มันเป็นสัตว์อะไร

มีคนให้สันนิษฐานว่าเปลวปลาหมึกยักษ์นั้นอาจเป็นปลาหมึกยักษ์ และมันเปลวของวาฬนั้น ปรากฏว่ามันไม่ใช้ปลาหมึก และกระนั้นเคยมีคนทดลองมันโดยเปรียบเทียบเนื้อเยื่อของปลาหมึกและเนื้อเยื่อของเปลววาฬ พบว่าการเรียงตัวของคอลลาเจนนั้น ต่างกันโดยสิ้นเชิงสำหรับกรณีกล็อบสเตอร์ที่ดังๆ ก็เช่น St. Augustine Monster (1896), Dunk Island Carcass (1948), Melbourne-Hobart Carcass (1958), Tasmanian Globster (1960), New Zealand Globster (1968), Tasmanian Globster 2 (1970) เป็นต้น 

 

 
 
 
 
 
Lost Dutchman’s Gold Mine


ลายแทงเหมืองทองดัทช์แมน (Dutchman Goldmine : Apache Junction, Arizona) ว่ากันว่านี้คือขุมทรัพย์ที่อันตรายที่สุดในโลก ซึ่งว่ากันมีทองจำนวนมหาศาลถูกซ่อนใน เทือกเขาซูเปอร์สติชั่นอันร้อนระอุแห่งอริโซน่าที่มีชื่อเสียงเรื่องแร่ทองอุดมสมบูรณ์ ที่แฝงไปด้วยความอันตราย แต่ปัจจุบันการเป็นพื้นที่ต้องห้ามไม่ให้บุคคลภายนอกเข้า 


ซึ่งการตั้งชื่อว่าดัทซ์แมนก็เนื่องมากจากนักอพยพชาวเยอรมัน Jacob Waltz (ชาวดัทซ์เป็นคำสแลงของอเมริกันที่กล่าวถึงผู้อพยพ) ในตำนานเล่าว่าเหมืองทองคำมูลค่าถึง 200 ล้านเหรียญ เชื้อเชิญนักขุดทองเข้าไปใกล้ๆ ตำนานรหัสลับของเหมืองทองที่ปัจจุบันยังไม่คลี่คลาย

นักล่าสมบัติ รอน เฟลด์แมน และเดวิด ฮินช์คลิฟ ทำการสำรวจเทือกเขาอันตราย ถึงแม้การตามล่าลายแทงสมบัติของพวกเขาในครั้งนี้สูญเปล่า แต่ทฤษฎี และข้อสันนิษฐานที่ได้ของทั้งคู่จะเป็นแนวทางที่ดีของ การเริ่มต้นค้นหาใหม่ในครั้งต่อไป 

 

 

 

 

 

Red Rain in Kerala

 


ในปี ค.ศ.1890 ที่เมืองแมสซิก นาดี แคว้นคาลาเบรีย อิตาลี เกิดฝนตกลงมีแดง เมื่อนำไปพิสูจน์ดูพบว่ามันเป็นเลือดของนกซึ่งตอนนั้นมีการสันนิษฐานว่านก ที่กำลังบินอพยพเกิดไปเจอลมแปรปรวนจนร่างนกเหล่านั้นฉีดขาดและเลือดปลิวกระจายเหมือนฝน

แต่ปัญหาที่ตามมาคือทำหากเป็นเช่นนั้นจริง แต่ทำไมถึงไม่มีเนื้อหนังหรือกระดูกหล่นมาให้เห็นด้วย ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวถึงบันทึกในวารสารวิทยาศาสตร์ Popular Science News ฉบับ 35 (ไม่ทราบปีพิมพ์)
 


วันที่ 1 กันยายน 1969 ที่ฟาร์มของเจ.ฮันดันสัน ในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่แคลิฟอร์เนีย เกิดเหตุการณ์คล้ายกัน เพียงแต่คราวนี้มีเศษเนื้อปลิวลงมาด้วยนานถึงสามนาที ซึ่งสันนิษฐานว่าจะเป้นเนื้อของเหยื่อที่ล่ามาได้แล้วบินผ่านไป

17 สิงหาคม 1841 ที่ไร่ยาสูบในเมืองเลบานอน รัฐเทนเนสซี เวลาเที่ยงวัน จู่ๆ มีเมฆประหลาดลอยผ่านบริเวณนั้น แล้วมีฝนตกลงมาพร้อมเศษเนื้อและไขมันยาว ประมาณ 1.58 นิ้ว กลิ่นแรงมาก

บทความถูกตีพิมพ์ในนิตยสาร Ameican Journal of Science ฉบับ ที่ 44

แต่เหตุการณ์นี้ น่าพิศวงที่สุดเกิดขึ้นในปี 2001 ที่อินเดีย เมืองเกราลา ในช่วงเดือนกรกฎาตคมถึงกันยายน ที่เดียวกับมหาลัยมหาตมะ คานธี โดยฝนมีลักษณะคล้ายกับเลือด, สีเหลืองเขียว และสีดำ ซึ่งฝนนเหล่านี้ตกเหมือนฝนทั่วๆ ไป
และที่มีฟ้าผ่าตามมา จากการตรวจสอบพบว่าฝนแดงเหล่านี้มีเซลล์บางอย่างที่เหมือนกับเป็นเซลล์สิ่ง มีชีวิต 
 


หากเรื่องพิศวงคือเมื่อทำการตรวจสอบโดยกล้องจุลทรรศน์อิเล็คทรอนที่มีกำลัง ขยายหลายหมื่นเท่าพบว่าโครงสร้างเซลล์นั้น ประกอบด้วยคาร์บอนและออกซิเจน แต่ไม่ปรากฏ DNA แต่อย่างใด จนทำให้หลายฝ่ายคิดงว่าเซลล์เหล่านี้ไม่ใช้เซลล์ที่อยู่บนโลก หรือว่านี้คือสิ่งมีชีวิตรูปแบบใหม่จากนอกโลกที่มาพร้อมกับดาวหางหรือเข้ามา บนโลกพร้อมเศษอุกาบาตก็เป็นไปได้….

 

 

 

 

Noah's Ark

 


อา รารัต(Ararat)เป็นยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะตลอดกาล พรมแดนของประเทศตรุกี ในสมัยกลางดินแดนแถบนี้เล่าลือกันว่าเป็นที่อยู่อาศัยของมังกร และสัตว์ร้ายนาๆ พันธุ์

จึงทำให้นักไต่เขาและนักผจญภัยพากันหวั่นหวาดไม่อยากขึ้นมาบนเขาลูกนี้ นอกจากเรื่องเล่าลือแล้ว อันตรายอันเกิดจากอุบัติเหตุต่างๆเช่น หิมะถล่ม หมอกมืดอันปกคลุมอยู่ชั่วนาตาปี และภูมิอากาศที่มักเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน นอกจากนี้รัฐบาลตุรกีไม่อนุญาตการขึ้นไปสำรวจภูเขาเพราะ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา 


เนื่องจากคัมภีร์ไบเบิลกล่าวไว้ว่า เมื่อน้ำท่วมโลกได้ลดลง ภูเขาอารารัตนั้นคือภูเขาลูกแรกที่ยอดโผล่พ้นผิวน้ำ และเป็นที่ๆ เรืออาร์คของโนอาห์ได้ลงจอด

เรือโนอาห์ (Noah's Ark) ถูกกล่าวถึงในพระธรรมปฐมกาลบทที่ 6 ก่อนที่พระเจ้าจะทรงทำลายมนุษย์ด้วยการทำให้น้ำท่วมโลก พระองค์ทรงเห็นว่าโนอาห์เป็นคนชอบธรรม ดีพร้อมในสมัยนั้น และดำเนินกับพระเจ้า 


เหตุการณ์ ของเรือโนอาห์ ยังมีกล่าวถึงในในพระธรรมปฐมกาล พระคัมภีร์อัลกุรอาน ในศาสนาอิสลาม พระคัมภีร์ในศาสนายูดาย นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานเรื่องเล่าปรำปรานานาชาติ เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์น้ำท่วมโลกนี้ แตกต่างกันไปในแต่ละชนชาติ

สิ่งที่เป็นปริศนาในเวลาต่อมาคือ เรือโนอาห์นั้นมีจริงหรือไม่ ถ้ามีจริงมันยังมีซากหลงเหลืออยู่หรือเปล่า? ถ้าอยู่มันจะอยู่แห่งหนไหน? แน่นอนสถานที่ที่คาดว่าจะได้พบเจอเรือลำนี้คือ อารารัตนั้นเอง มีรายงานกว่าศตวรรษจากผู้เคยพบเห็นเรือ ค้นพบชิ้นไม้ ถ่ายรูปได้จากที่สูงมากมาย เป็นที่เชื่อกันว่า อย่างน้อย ชิ้นส่วนที่ใหญ่ๆ ของเรือ น่าจะยังมีอยู่ อาจไม่ได้อยู่ เทือกเขาสูงสุด

แต่ที่ไหนซักแห่ง ซึ่งอยู่เหนือ ขึ้นไป ระดับหมื่นฟุต ภูเขานี้ปกคลุมด้วยหิมะ และน้ำแข็งตลอดทั้งปี มีเพียงช่วงฤดูร้อน ที่จะเข้าไปได้ บางคนก็เคยปีนและเดินขึ้นไป

ส่วนภาพที่เห็นนี้เป็นรูปถ่ายจากกองทัพ อวกาศในภารกิจการลาดตระเวน อากาศมรยอดเขา 

 
Credit: http://men.postjung.com/695160.html
31 ก.ค. 56 เวลา 16:35 12,330 5 200
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...