เจาะลึกยาหม้อไทย (e-magazine)
ขึ้นชื่อว่า คนไทย น้อยคนนักที่ไม่เคยได้สัมผัสกับยาหม้อ ยิ่งเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ด้วยแล้ว นับว่าบริโภคกันเป็นเรื่องปกติ ซึ่งในปัจจุบันนี้ยาหม้อดูจะกลายเป็นยาที่หายากและเริ่มห่างหายไปจากวงการแพทย์ทางเลือก เพราะผู้คนนิยมใช้ยาฝรั่ง หรือยาแผนปัจจุบัน ซึ่งแท้จริงแล้ว ยาหม้อนั้นมีประโยชน์มากมาย เพียงแต่เราต้องทำความรู้จักกับมันให้ดีเสียก่อน
ยาหม้อคืออะไร
นพท.จิตติมา หลิวศิริ อายุรเวท โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท เปิดเผยว่า ยาหม้อไทย เป็นรูปแบบการปรุงยาอย่างหนึ่งตามวิถีของแพทย์แผนไทย หรือแพทย์พื้นบ้าน ซึ่งรูปแบบของยาจะเป็นในลักษณะของยาต้ม ซึ่งเป็นการใช้น้ำเป็นตัวทำละลายยาสมุนไพร
ยาหม้อมีส่วนประกอบอะไรบ้าง
ตัวยาตรง เป็นตัวยาที่มีสรรพคุณโดยตรงในการบำบัดโรคหลักนั้น ๆ
ตัวยาช่วย เป็นตัวยาที่ช่วยรักษาโรคแทรก โรคตาม หรือโรคหลายโรครวมกันจากโรคหลักนั้น ๆ
ตัวยาประกอบ เป็นตัวยาที่ใช้เพื่อป้องกันโรคที่อาจจะตามมาได้ และช่วยบำรุงแก้ส่วนที่หมอเห็นควร หรืออาจจะเป็นตัวยาที่ใช้เป็นตัวคุมฤทธิ์ยาอื่น ๆ
ตัวยาชูกลิ่น ชูรส และแต่งสีของยา เป็นตัวยาที่ใช้เพื่อเป็นการปรุงยาให้น่ารับประทานมากขึ้น
กินยาหม้อเพื่อรักษาโรค ดีจริงหรือ
ยาหม้อมีข้อดีในการรักษา เนื่องจากเป็นยาที่สามารถรักษาอาการคนไข้ได้ครอบคลุมทุกอาการ ไม่ว่าจะเป็นอาการหลักของโรคหรืออาการแทรกซ้อน รวมถึงอาการข้างเคียงที่สามารถเกิดได้จากการรับประทานยาก็จะมีตัวยาประกอบที่สามารถไปควบคุมฤทธิ์ยาที่อาจทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนได้ นอกจากนี้ยาหม้อยังเป็นตัวยาที่ดูดซึมได้ง่าย ออกฤทธิ์เร็ว และมีวิธีการเตรียมที่ง่ายและสะดวกอีกด้วย
ความแตกต่างระหว่างการรักษาด้วยยาหม้อและยาแผนปัจจุบัน
ยาหม้อจะมีข้อดีในการรักษาที่เราจะเน้นการรักษาจากสาเหตุของโรค อีกทั้งตัวยาก็จะมีทั้งตัวยาที่ออกฤทธิ์เพื่อครอบคลุมอาการทั้งหมด ทั้งอาการหลัก อาการรอง และอาการข้างเคียงต่าง ๆ และการรับประทานยาหม้อยังเป็นยาที่ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย โดยไม่ต้องแปรรูปยา ทำให้อวัยวะภายใน เช่น ตับและไต ไม่ต้องทำงานหนักในการแปรรูปยา เพื่อการออกฤทธิ์และกำจัดออกจากร่างกาย
อย่างไรก็ตาม ยาหม้อจะมีข้อเสีย ในเรื่องของสี กลิ่นและรสชาติในการรับประทาน อีกทั้งยาต้มไม่สามารถเก็บไว้ได้นานเนื่องจากขึ้นราได้ง่าย ส่วนยาแผนปัจจุบัน มักจะเป็นการรักษาที่ปลายเหตุ แต่จะมีข้อดีตรงที่ยาแผนปัจจุบันจะเป็นการรักษาตามอาการแบบทันทีทันใด สามารถรักษาได้อย่างฉับพลัน อย่างเช่น หากมีอาการปวดมาก ก็อาจจะเป็นการรักษาโดยการฉีดยาเพื่อลดอาการปวดได้อย่างทันทีทันใด และตัวยาก็สามารถเก็บรักษาได้เป็นเวลานาน
ใครที่เหมาะและไม่เหมาะกับการกินยาหม้อ
ยาหม้อสามารถรักษาโรคได้ทุกโรคทั่วไปตามแพทย์แผนปัจจุบัน สามารถรับประทานได้ทุกคน ยกเว้น ในกลุ่มของโรคที่อาจต้องรักษาโดยต้องใช้เครื่องมือแพทย์เฉพาะทางเป็นพิเศษ ซึ่งการกินยาหม้ออาจมีข้อควรระวังในแต่ละรายบุคคลไป และขึ้นกับยาสมุนไพรแต่ละตัวที่ใช้ในการรักษา
หากมีอาการในเรื่องโรคประจำตัว เช่น แพ้เกสรดอกไม้ แพ้สมุนไพรบางชนิด มีความผิดปกติของตับ ไต และทางเดินปัสสาวะ สตรีมีครรภ์ เป็นต้น ซึ่งเราก็จะหลีกเลี่ยงการใช้ยาสมุนไพรนั้น ๆ ที่อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการข้างเคียงได้ โดยใช้ตัวยาอื่นที่มีสรรพคุณใกล้เคียงกันแทน นอกจากนี้ เนื่องด้วยยาหม้อมีสี กลิ่น รส ที่ไม่น่ารับประทาน จึงอาจไม่เหมาะที่จะใช้ในการรักษาเด็กและผู้ที่ไม่สามารถยอมรับในเรื่องสี กลิ่น และรสของยาได้
อันตรายจากการกินยาหม้อ
สำหรับอันตรายจากยาหม้อนั้นนับว่ามีอยู่ เช่น อันตรายจากเชื้อรา วัตถุดิบ ฤทธิ์ของยา ซึ่งเราคงจะต้องระวังในเรื่องของวัตถุดิบตัวยา ที่เราจะนำมาใช้เป็นยาหม้อ โดยสิ่งที่อยากให้ระวังในเรื่องแรกคือ ความสะอาดของตัวยา ไม่ควรที่จะมีสิ่งแปลกปลอมติดอยู่ เช่น เศษดิน หนอน มด แมลงตัวเล็ก ๆ เป็นต้น
การระวังในเรื่องของเชื้อราที่มากับตัวยาสมุนไพรที่มีความชื้น หรือจากการที่เก็บยาหม้อไว้เป็นเวลานานเกินไป เพราะหากรับประทานเข้าไปย่อมไม่ดีต่อร่างกายเป็นแน่ หรือแม้กระทั่งยาบางตัวที่มีฤทธิ์แรง ก็จะต้องทำการสะตุ ประสะ หรือฆ่าฤทธิ์ยาเสียก่อน เพื่อทำให้ฤทธิ์ยาอ่อนลงจนสามารถนำมาใช้ได้โดยไม่เกิดอันตรายใด ๆ ต่อร่างกาย
วิธีการกินและเก็บรักษายาหม้อที่ถูกต้อง
ให้รับประทานยาในเวลาท้องว่าง คือ ก่อนอาหาร เพื่อให้ตัวยาออกฤทธิ์ได้ดี และวิธีในการเก็บรักษายาหม้อที่ถูกต้องคือ ยาหม้อโดยปกติสามารถต้มกินได้ไม่เกิน 7-10 วัน หรือจนกว่าตัวยาจืด แต่จะต้องอุ่นยาเช้า-เย็น เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดเชื้อรา และทำให้ยาหม้อบูด หรือเสียได้
เคล็ดลับสุขภาพ สุขภาพใกล้ตัว โรคและการป้องกัน คลิกเลย
คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อน ๆ ได้ที่นี่ค่ะ
ลิขสิทธิ์บทความของ e-magazine.info
ติดตามบทความ สุขภาพ หรืออ่าน แมกกาซีน