แกรี ลีออง ริดจ์เวย์ ช่างทาสีรถบรรทุกเมืองซิแอตเทิลและทาโคน่า รัฐวอชิงตัน วัย 54 ปี ฆาตกรโรคจิตเจ้าของฉายา “นักฆ่าลุ่มแม่น้ำ เขียว” ยอมรับว่าสังหารสตรีทั้งหมด 48 คน (ปัจจุบันพบ 50 ศพแล้ว) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโสเภณี ซึ่งตำรวจเชื่อว่าน่าจะสังหารมากกว่านั้น) โดยสังหารระหว่างปี 2525 จนกระทั่งถูกจับกุมในปี 2544 จากการตรวจสอบดีเอ็นเอ และตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ปัจจุบันยังมีชีวิตสุขสบายดีในคุก
เป็น ฆาตกรที่มีชื่อเสียงของรัสเซียฆ่าคนไป 53 ศพ เหยื่อมีทั้งผู้หญิงและเด็ก แถมฆ่าแล้วกินศพอีกด้วย โดยเริ่มไล่ล่าฆ่าคนตั้งแต่ปี 1978 ถึง 1992 โดยปกติเหยื่อของเขาจะเป็นผู้คนไม่มีบ้าน หรือผู้ซึ่งพักรอบๆทาง ซึ่งบางรายถูกควักตาในขณะที่ยังมีชีวิต ถูกกัดหัวนม บางรายถูกผ่าท้องในขณะที่เป็นๆ และมีอวัยวะบางส่วนถูกกินอย่างสยดสยอง ก่อนจะถูกจับได้ในปี 1992 ต่อมา และถูกประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 1994
เกิด ที่เยอรมัน เริ่มฆ่าคนเมื่ออายุ 18 ปี ค.ศ. 1927 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยสังหารผู้หญิงไปถึง 85 ศพ โดยส่วนใหญ่สภาพศพส่วนใหญ่ถูกข่มขืนและถูกแทงหลายแผล หลังสงครามโลก 2 วันที่ 29 มกราคม 1943 บรูโนก็ถูกตำรวจ จนกระทั้งบรูโนจบชีวิต หลังจากถูกนำตัวไปทดลองโดยการฉีดยา โดยคณะแพทย์ที่โรงพยาบาลเพราะต้องการศึกษาว่าทำไมเขาถึงเป็นฆาตกรต่อเนื่อง ที่โหดมแบบนี้
ปี 1999 แคว้นปัญจาบ ปากีสถาน ชายคนหนึ่งชื่อ จาเว็ด อิคบอล ชาวปากีสถาน อาชีพรับจ้างทั่วไป ทำการฆ่าเด็กชายถึง 100 ศพ! โดยใช้เวลาแค่ 5 เดือน! โดยทุกรายจะลงมือข่มขืน รัดคอ จากนั้นก็สับร่างกายของเหยื่อออกเป็นชิ้นๆ และโยนลงในหม้อที่มีกรดเพื่อทำลายหลักฐาน จนกระทั้งจาเว็ดเกิดนึกเบื่อเขาเลยเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับเขาในจดหมายให้ หนังสือพิมพ์ในเมืองจนถูกตำรวจจับในที่สุด ผลสุดท้ายก็ถูกประหารตามกฎของปากีสสถานคือฆ่าเหยื่อตายยังไงก็ต้องถูกประหาร แบบนั้น
เฮ นรี่ ลู ลูกัสฆาตกรต่อเนื่องที่ตาบอดข้างหนึ่งในอเมริการ่วมมือกับออตติส เอลวูด ช่วยกันสังหารคนที่โบกรถตามทางหลวงของเท็กซัส ฟลอริดา ตั้งแต่ปีและทั่วประเทศในอเมริกา 1966 ซึ่งเขาอ้างว่าสังหารคนกว่า 3,000 ชีวิต แต่หลังจากการตรวจสอบพบว่า เขาฆ่าเพียง 210 ศพเท่านั้น โดยหนึ่งจำนวนนี้มีทั้งแม่และครูประจำชั้นของลูกัสรวมอยู่ด้วย ลูกัสใช้ชีวิตอยู่ในแดนประหารนานถึง 15 ปี จนกระทั้งตายในคุกตามธรรมชาติเมื่อปี 2001
ชื่อ จริง เฮอร์แมน เว็บสเตอร์ มัดเกทท์เป็นนักธุรกิจ หมอ นักต้มตุ๋น สังหารสตรีไป 200 ศพ (แต่สารภาพเพียง 27 ราย) โดยอุตสาห์ลงทุนสร้างโรงแรมที่ชิคาโก บนหัวมุมถนนบล๊อกที่ 63 สหรัฐอเมริกา เพื่อฆ่าคนโดยเฉพาะ โรงแรมเสร็จสมบูรณ์ในปี 1892 และแขกส่วนมากจะถูกฆ่าด้วยวิธีการต่างๆ นาๆ เช่น ราดน้ำกรด หั่นศพ รมแก๊ซ ฯลฯ แต่ผลสุดท้ายเขาถูกตัดสินว่ามีความผิดเพียงค่าคนเพียงคดีเดียว และโฮมส์ถูกแขวนคอเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 1897 ซึ่งเขาไม่ได้ตายทันที เขากระตุกอยู่ถึง 10 นาที ก่อนจะตายสนิทในอีก 5 นาทีให้หลัง
เจ้า ของฉายา “อสูรกายแห่งเทือกเขาแอนดีส” ได้รับบันทึกว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าคนมากที่สุดในยุคปัจจุบัน โดยทำสถิตฆ่าเหยื่อไปแล้วทั้งหมดแบบคร่าวๆ คือ 300 ศพ โดย 100 ศพเป็นผู้หญิงเผ่าอินเดียแดง เกือบทั้งหมดถูกข่มขืนอย่างรุนแรงก่อนที่จะรัดคอหรือบีบคอตาย โดยในช่วงปลายทศวรรษที่ 70 ต่อต้นทศวรรษที่ 80 เปโดรเดินสายฆ่าคนเป็นว่าเล่นถึงสามประเทศคือ เปรู โคลัมเบีย และเอกวาดอร์ ก่อนที่จะถูกจับในในขณะเขากำลังฆ่าพอดี ก่อนที่จะสารภาพว่าฆ่าเหยื่อกว่า 300 ซึ่งตำรวจได้เพียงแต่เชื่อเขาเท่านั้นเพราะช่วงนั้นเกิดน้ำท่วมใหญ่ใน อเมริกาใต้ทำให้หลักฐานที่เขาทำไว้หายหมด ผลสุดท้ายถูกปล่อยโดยรัฐบาลเอกวาดอร์และเนรเทศกลับไปดำเนินคดีต่อที่ โคลัมเบียในปี 1998
อดีต คนสนิทของ แจนน์ ดาร์ค (โจน ออฟ อาร์ค) วีรสตรีซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดของฝรั่งเศส หลังจากแจนน์ ดาร์คก็ถูกทหารฝ่ายศัตรูจับ และถูกเผาทั้งเป็นในฐานะแม่มดเมื่อปี 1431 กิลส์ก็เริ่มบ้า และเชื่อว่าเลือดคนสามารถเล่นแร่แปรธาตุเป็นทองคำได้ ทำให้เขาริเริ่มทำการรวบรวมเด็กชายจากที่ต่างๆมาเพื่อเป็นเครื่องสังเวยให้ กับปีศาจโดยเด็กบางคนถูกผ่าท้องแล้วทึ้งไส้ออกมา บ่อยครั้งที่กิลส์ข่มขืนศพของเด็กที่เสียชีวิตแล้ว เขาสะสมศีรษะของเด็กหนุ่มจำนวนมาก และศีรษะที่หน้าตาดีจะถูกเรียงไว้เหนือเตาผิงเหมือนเป็นคอลเลคชั่นพิเศษ มีการพบศพของเด็กจำนวนกว่า 150 ศพ (ส่วนใหญ่ไม่มีศีรษะ) ในปราสาท แต่พูดกันว่าเหยื่อของเขาน่าจะมีมากกว่า 1,500 ราย (อันนี้เกินไปหน่อย) และผลสุดท้าย กิลส์ ถูกตัดสินให้ประหารโดยการแขวนคอในวันที่ 26 ตุลาคม 1440 และศพถูกลงโทษโดยการเผา
เป็น ผู้หญิงที่ฆ่าคนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยจำนวนเหยื่อเป็นสาวพรหมจารี 605 ศพ!เป็นถึงเชื้อพระวงค์ชั้นสูง ฮังการี ในยุโรป มีอำนาจล้นหลาม ฆ่าคนจำนวนมากเพราะเชื่อว่าเลือดของเด็กสาวเป็นยาอายุวัฒนะชะลอความแก่ได้ โดยเอริซาเบทจะรวบรวมเด็กสาวจากที่ต่างๆ ในดินแดนของตนกว่า 600 ราย จากนั้นก็ฆ่าและรีดเลือดจากศพเด็กสาวเพื่อมาใช้อาบตัวแทนน้ำ ส่วนศพก็ไปฝังในปราสาท โดยวิธีการรีดเลือดส่วนใหญ่มักมีอุปกรณ์ทรมานมาใช้ประกอบ เช่น ใช้เหล็กร้อนเผาลำคอ ใช้เครื่องทรมานบีบหน้าอก บางครั้งเธอก็ใช้มือทั้งสองของตัวเองล้วงเข้าไปในปากและฉีกร่างของเหยื่อออก เป็นสองซีก บางครั้งก็ให้ทหารกรูกันเข้ามาลงแขก แล้วแทงด้วยมีดที่กลางอก บ้างก็ถูกตัดหัว บ้างก็ถูกตัดแขนตัดขาและเสียเลือดมากจนสิ้นลม มกราคมปี 1611 เอริซาเบทถูกตัดสินให้ถูกจำคุกตลอดชีวิต ส่วนผู้ร่วมสังหารทุกคนต่างก็ถูกตัดสินโทษเผาทั้งเป็น เธอเสียชีวิตในอีก 3 ปีให้หลัง และมีบางตำนานกล่าวว่าเธอหนีออกไปได้และกลายเป็นผีร้ายอยู่ในป่าของฮังการี