คุณค่าทั้งหลายในโลกที่ยึดถือกันในปัจจุบันไม่ได้เกิดขึ้นมาเอง สิ่งที่ดูเหมือนดูจะเป็นของปกติธรรมดา ทุกอย่างต้องมีก้าวแรก และก้าวแรกนี่เอง ที่จะต้องถูก "รับน้อง" จากค่านิยมความเชื่อเก่าๆ แรงต้านทานความเปลี่ยนแปลงนั้นรุนแรงเสมอ ดังตัวอย่างสำคัญที่สุดตัวอย่างหนึ่งในประวัติศาสตร์โลกนี้
"เจมส์ เมเรดิธ นักศึกษาผิวดำคนแรก"
หลังเรียนจบมัธยม เจมส์ เมเรดิธ สมัครเป็นทหารอยู่นาน 9 ปีก่อนจะยื่นใบสมัครเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยมิสซิสซิปปี ความพยายาม 2 ครั้งแรกของเขาประสบความล้มเหลว แต่แล้วในวันที่ 31 พฤษภาคม 1961 ศาลสูงสุดของอเมริกาก็ตัดสินให้เขาสามารถเข้าเรียนได้ แม้กระนั้นเมื่อเมเรดิธเดินทางไปยังมหาวิทยาลัยวันแรก ประตูหน้าของมหาวิทยาลัยกลับถูกรอส บาร์เน็ตผู้ว่าการรัฐมิสซิสซิปปียืนขวางทางอยู่ โดยอ้างว่าเขาได้ละเมิดกฎหมายห้ามคนดำไปเลือกตั้งซึ่งทำให้เขาหมดสิทธิ์เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยประจำรัฐ นายโรเบิร์ต เอฟ เคเนดี้ อัยการสูงสุดแห่งสหรัฐอเมริกาต้องต่อสายโทรศัพท์เจรจากับนายบาร์เน็ตหลายครั้งจนในที่สุดก็ยอมให้เมเรดิธเข้าไปลงทะเบียนเรียนอย่างเสียไม่ได้
ในการไปเรียนวันแรกของเมเรดิธ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารคุ้มกันถึง 500 นาย คุ้มครองเขาจากนักศึกษาผิวขาวที่เหยียดสีผิวซึ่งก่อม๊อบมาขัดขวางและปะทะกับเจ้าหน้าที่จนมีผู้บาดเจ็บมากมาย และมีผู้เสียชีวิตถึง 2 คน การเรียนของเมเรดิธเป็นไปโดยยากลำบาก เพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยทั้งกลั่นแกล้งและแสดงความรังเกียจต่อเขาต่างๆ นานา ไม่ว่าจะกลั่นแกล้งในห้องเรียน แสดงความรังเกียจด้วยการไม่นั่งด้วยในโรงอาหาร เพียงเพราะเขามีสีผิวที่ต่างไปจากตัวเอง หลังจากนั่งกินข้าวอย่างโดดเดี่ยวอยู่หลายปี เขาก็สามารถเรียนจบสาขารัฐศาสตร์ได้ในปี 1963 และกลายเป็นนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนคนสำคัญ
อ่านแล้ว เราอาจสงสัยว่าทำไมคนสมัยนั้นถึงคิดหรือทำอะไรแบบนั้นได้? แน่นอนว่าเป็นเราเราจะไม่ทำ มันเป็นสิ่งที่เข้าใจไม่ได้เลย หรืออาจถึงขั้นน่าหัวเราะ !?
แต่นี่เองคือจุดอ่อนของมนุษย์ เราถูกบังตาไว้ด้วย "ข้อจำกัดของยุคสมัย" เสมอ เราอยู่ในสังคมแบบไหนถูกปลูกฝังมาอย่างไร เราก็จะเชื่อและทำแบบนั้นด้วยความเชื่อมั่นอันแท้จริงว่าคือความถูกต้อง ดังเช่นคนขาวทั้งหลายในปี 1962 พวกเขาไม่ได้ทำแบบนั้นเพราะเป็นคนเลวหรือขาดสติ ตรงกันข้าม พวกเขาทำด้วยสำนึกและสติอย่างเต็มเปี่ยม พร้อมด้วยแรงสนับสนุนทางสังคมที่เห็นอย่างเดียวกัน
การที่คนดำเข้ามาเรียนปะปนกับคนขาวต่างหาก คือการปล่อยปละที่จะนำสังคมไปสู่หายนะ คือความนอกรีตที่สังคมไม่อาจรับได้!!
สิ่งต่างๆ ที่เราเชื่อว่าคือความถูกต้องที่สุดในทุกวันนี้ ก็ไม่พ้นที่ต้องถูกประวัติศาสตร์ทดสอบ อนาคตจะย้อนกลับมาตัดสินเราทุกคนว่า ณ ช่วงเวลาปัจจุบันนี้ สิ่งที่เราเลือกเชื่อเลือกทำนั้น อยู่ข้างไหนของประวัติศาสตร์?
ข้างที่จะนำไปสู่สิทธิเสรีภาพ ความเท่าเทียม หรือข้างที่ผู้คนในอนาคตจะย้อนกลับมาหัวเราะเยาะ?