เมื่อเทอมที่ผ่านมา มีเด็ก ๆ จากบ้านเด็กธรรมรักษ์ ได้ออกมาเรียนข้างนอกในระดับปวช. ที่สถาบันแห่งหนึ่งในจังหวัดลพบุรี เด็ก ๆ จบม.3 จำนวน 4 คน เด็ก ๆ ออกมาเรียนข้างนอกด้วยความสมัครใจ
ด้วยสถานที่ของบ้านเด็กธรรมรักษ์และโรงเรียนเดิมที่เด็กเคยเรียนอยู่ อยู่ในบริเวณเดียวกัน ทำให้ความรู้สึกของเด็กคือการเรียนที่บ้าน เด็กวัยรุ่นมักมีความสนใจโลกภายนอก อยากรู้อยากลอง
พวกเราให้โอกาสเด็ก ๆ ออกมาเรียนข้างนอก เพื่อให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตกับบุคคลภายนอก ค่อย ๆ กลับเข้าสู่สังคม ทั้ง ๆ ที่เรายังไม่มั่นใจว่าสังคมจะยอมรับเด็ก ๆ พวกนี้ได้หรือไม่
เด็ก ๆ พักอยู่ที่วัดพระบาทน้ำพุซึ่งอยู่อำเภอเมือง แรก ๆ ตอนเช้าจะมีรถที่วัดมาส่ง-รับ เด็ก ๆ ที่โรงเรียนทุกวัน ผ่านไปประมาณ 2 เดือน จึงปล่อย ๆ ให้เด็ก ๆ ไปกลับเอง เด็ก ๆ ใช้ชีวิตที่วัดแบบดูแลตัวเอง ด้วยเหตุผลที่พวกเราเห็นว่า วันนึงพวกเค้าต้องโตและถ้าเค้าต้องการจะออกไปใช้ชีวิตภายนอกเอง เค้าต้องสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเอง
ปัญหาที่พวกเราคิดไว้คือเรื่องของการยอมรับจากบุคคลภายนอก เป็นเรื่องที่เด็กต้องเจออยู่แล้ว พวกเราได้บอกเด็ก ๆ ไปว่าการเปิดเผยเรื่องของตัวเอง สิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ที่ความสมัครใจของเด็ก ๆ แต่สำหรับโรงเรียนยังไงเราก็ต้องแจ้งให้ทราบ ในวันที่พวกเราไปสมัครเรียนและมอบตัว
เราได้แจ้งกับทางโรงเรียนไปตรง ๆ ว่าเด็ก ๆ เป็นเด็กที่ติดเชื้อ HIV ซึ่งทางโรงเรียนไม่ได้มีปัญหาและมีปฏิกริยาอะไรที่ไม่ดีกับเด็ก ๆ โรงเรียนยินดีที่จะดูแลเด็ก ๆ และให้ความเมตตากับเด็ก ๆ ดีมาก
เด็ก ๆ สามารถใช้ชีวิตร่วมกับเพื่อนที่โรงเรียนได้ค่อนข้างดี มีเพื่อนมารับมาส่งในบางครั้ง ไปเที่ยวกับเพื่อน ทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนได้ดี อยู่มาวันนึงมีเพื่อนคนนึงมาถามเด็กคนนึงว่า
“ทำไมเธอมาอยู่ที่วัดพระบาทน้ำพุ”
“ญาติเราเอาเรามาฝากไว้ เราจะได้ไม่เสียค่าใช้จ่ายเรื่องที่พัก”
“แล้วเธอติดเชื้อมั้ย ถ้าไม่ติดเชื้อเธอมาอยู่วัดทำไม”
“เราติดเชื้อ”
ในขณะที่เด็กสองคนนี้สนทนากันอยู่ก็ได้กินมันฝรั่งทอดถุงเดียวกันไปด้วย พอสิ้นสุดคำว่า “เราติดเชื้อ” มืออีกมือนึงชะงักแล้วหยุดกิน พร้อมทั้งมีคำถามตามมาว่า
“เราจะติดเชื้อจากเธอมั้ย”
“ไม่ติดหรอก มันไม่ได้ติดกันง่าย ๆ”
“ไม่เอาหรอก เรากลัว”
การสนทนาจบลงตรงนั้น พร้อมทั้งการแยกตัวออกไป เหตุการณ์ผ่านมาหลายวันแล้ว วันต่อมาเด็กของเราไม่ไปโรงเรียน เพราะเรื่องที่เกิดขึ้น เพื่อนโทรมาตามว่าทำไมไม่ไปโรงเรียน เด็กตอบไปทำนองที่ว่าก็เพื่อนรังเกียจ เพื่อนที่โทรมาก็เงียบไป แล้ววางหู เด็กลังเลที่จะไปโรงเรียน เด็กมาขอกลับมาเรียนที่เดิม
พวกเราได้แต่บอกไปว่า ลองสู้ดูก่อนลูก นี่คือความจริงที่ต้องเจอ เราต้องผ่านมันไปให้ได้ ถ้าเรายังต้องการใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้
พรุ่งนี้เราจะไปโรงเรียน ไปทำความเข้าใจกับเพื่อนในห้องเรียนของเด็ก ๆ อาจถึงขั้นต้องพาเด็ก ๆ พวกนั้นมาสัมผัสกับเด็ก ๆ ที่บ้านเด็กธรรมรักษ์ พามาดูงานที่วัดพระบาทน้ำพุ และทำความเข้าใจกับ HIV และการอยู่ร่วมกันกับ HIV
ในสังคมนี้ ยังมีอีกหลายคนที่ไม่เข้าใจว่า HIV ติดต่อกันได้อย่างไร อยู่ร่วมกันได้อย่างไร เราคิดว่าด้วยสังคมไทยซึ่งเป็นสังคมแห่งเมตตากรุณา เอื้ออาทร ถ้าได้รับความเข้าใจที่ถูกต้อง เด็ก ๆ และผู้ป่วยที่วัดพระบาทน้ำพุน่าจะได้รับการยอมรับจากเพื่อนในห้องและโรงเรียน
สิ่งที่เราหวังที่สุดตลอดระยะเวลาที่เราทำงานมา คือวันนึงสังคมจะยอมรับในสิ่งที่พวกเค้าเป็น ให้อภัย ให้โอกาส เราไม่อยากให้มีวัดพระบาทน้ำพุที่ซึ่งต้องดูแลผู้ป่วยอีกต่อไป
เราอยากให้วัดพระบาทน้ำพุเป็นเพียงที่เผยแพร่ความรู้ความเข้าใจกับผู้ป่วยโรคเอดส์ เป็นบ้านหลังใหญ่ให้เด็ก ๆ และผู้ป่วยที่พวกเราเลี้ยงดูกลับมาเยี่ยมมาหา ถ้าวันนึงวัดพระบาทน้ำพุเป็นอย่างที่เราหวังได้ โลกนี้คงน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะ ขอเพียงที่ยืนให้พวกเค้าบ้างเถอะค่ะ…ขอบคุณ
ไม่ใช่กิจของสงฆ์ซักนิด...........เเล้วใครจะทำ?
http://www.phrabatnampu.org/#