.........พิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับความตาย...........
พิธีทำบุญต่ออายุ
การชักบังสกุลเป็น
ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น
ชีวิตของมนุษย์เรามีความเกี่ยวข้องกับขนบธรรมเนียมประเพณีมาโดยตลอด ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวันตายคราวนี้ เป็นเรื่องราวรายละเอียดประเพณี พิธีกรรมที่เกี่ยวกับความตายและการทำบุญให้แก่ผู้ล่วงลับ
การ เกิด แต่ เจ็บ ตายเป็นสิ่งที่ธรรมชาติกำหนดมาสำหรับชีวิตมนุษย์ทุกรูปนามโดยเท่าเทียมกันดังมีคำกล่าวที่ว่า"มรณัง อนตีโต"คือเราจะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้
ธรรมชาติของน้ำ คือ ความเหลว ธรรมชาติของคน คือความตาย
แม้ว่าความตายจะเป็นสิ่งที่มนุษย์เกรงกันมาก แต่ก็ไม่เคยมีใครหลีกหนีพ้นได้มีผู้คนเป็นจำนวนมากพยายามคิดค้นหาตัวยา หรือหนทางที่จะให้มีชีวิตอยู่อมตะแต่ยังไม่เคยมีใครประสบผลสำเร็จฉะนั้นเมื่อมนุษย์ทุกคนมีความตายเป็นของคู่กับการเกิดจึงไม่ควรเกรงกลัวกับความตายจนเกินเหตุแต่สิ่งที่ควรคำนึงคือการกระทำเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ควรพิจารณาว่าเราได้ประกอบคุณงามความดีและสร้างบุญกุศลเอาไว้ได้มากน้อยแค่ไหนในช่วงที่มีโอกาสเหลืออยู่
พิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับความตายมีอยู่มากหลายอย่าง อาทิ
พิธีทำบุญต่ออายุ
การชักบังสุกุลเป็น
การบอกหนทางผู้ป่วย
พิธีการทำศพ
พิธีทำบุญต่ออายุ
ในสมัยโบราณ เมื่อมีผู้ป่วยหนักเห็นว่าจะมีโอกาสรอดได้น้อย บรรดาญาติๆ หรือลูกหลาน จะนิมนต์สงฆ์มาสวดพุทธมนต์บทโพชฌงค์ และชักบังสุกุล นอกจากนี้ยังมีพิธีทำบุญต่ออายุให้แก่คนชราทั่วๆไปซึ่งลูกหลานจะเป็นผู้จัดให้ คือกระทำก่อนที่จะเจ็บป่วยถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อส่วนใหญ่เป็นการทำพิธีทางศาสนา คือนิมนต์พระมาสวดพระปริตรและทำบุญอุทิศส่วนกุศลโดยมากลุกหลานจะกระทำให้ทุกๆปี หรือทุกๆ ๕ ปีข้อนี้แล้วแต่ความสะดวกและเห็นสมควร
ประวัติความเป็นมา
การสวดโพชฌงค์ หรือ การสวดหลักธรรมชั้นสูงอันเป็นองค์แห่งธรรมเครื่องตรัสรู้ ซึ่งพระอริยเจ้าเมื่อระลึกถึงสามารถคลายความทุกขเวทนา ในเวลาอาพาธนั้นได้ดังมีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับพุทธตำนาน ดังนี้
เมื่อคราวที่พระมหากัสสปะแลพระโมคคัลลานะอาพาธ พระพุทธองค์ทรงตรัสเทศนาบทโพชฌงค์โปรดทำให้พระอริยเจ้าทั้งสองคลายจากความทุกขเวทนาหายอาพาธ
อีกคราวหนึ่งเมื่อพระพุทธองค์ทรงประชวร ได้ตรัสให้พระมหาจุนทะแสดงบทโพชฌงค์ให้ฟังซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงหายประชวรเช่นกัน
การชักบังสุกุลเป็น
สำหรับการสวดบังสุกุลเป็น คือการนำผ้ามาคลุมร่างคนเจ็บไว้ทั้งตัว ให้พระสงฆ์จับชายผ้า กล่าวคาถาเป็นภาษาบาลีว่า
อะจิรัง วะตะยัง กาโย
ปะฐะวิง อะธิเสสสะติ
ฉุฑโฑอะเปตะวัญญาโณ
นิรัตถังวะ กะลิงคะรัง ฯ
แปลใจความได้ว่า กายนี้ไม่นานหนอจักเป็นของเปล่าๆ
ปราศจากวิญญาณทับถมแผ่นดิน ดังท่อนไม้อันหาประโยชน์มิได้ฉะนั้น ฯ
เป็นการช่วยให้คนป่วยหรือคนชรามีกำลังใจ ทั้งจากบทสวดและการที่ลูกหลานมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันด้วยความรักและระลึกถึงว่าคนชราผู้นี้เคยเป็นดังร่มโพธิ์ร่มไทรที่เคยให้ความร่มเย็นแก่ลูกหลานหากคนชราถูกปล่อยให้อยู่ตามลำพัง โดยเฉพาะเมื่อยามเจ็บป่วยจะขาดกำลังใจเป็นอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้ประเพณีการนิมนต์พระสงฆ์มาสวดพุทธมนต์บทโพชฌงค์และชักบังสุกุลแก่ผู้ที่กำลังป่วยหนัก จึงกระทำสืบเนื่องกันมาในภาคอีสานจะมีพิธีสวดขวัญให้แก่คนไข้ที่กำลังเจ็บหนัก และทำพิธีค้ำต้นโพธิ์ต่ออายุพิธีตวงข้าวล้วนแต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำบุญและสร้างขวัญกำลังใจทั้งสิ้น
บางคนเมื่อเจ็บป่วยหนัก อาจจะทำบุญต่ออายุด้วยการปล่อยนกปล่อยปลาปล่อยเต่า บางทีก็ไปซื้อสัตว์เป็นๆ จำพวกเป็ด ไก่ หมู วัวควาย ที่เขากำลังจะฆ่าไปปล่อย ถือเป็นการไถ่อายุ
การบอกหนทางคนป่วย
ไม่ว่าจะกระทำพิธีต่ออายุหรือพยายามรักษาพยาบาลอย่างไรก็ตามเมื่อถึงกำหนดแห่งการสิ้นอายุขัย ทุกคนก็ต้องตายละสังขารไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติเมื่อคนป่วยเจ็บหนักใกล้จะหมดลมหายใจญาติพี่น้องจะจัดเตรียมกรวยสำหรับใส่ดอดไม้ธูปเทียนซึ่งทำจากใบตองนำมาใส่มือให้แก่ผู้ป่วยที่พนมไว้และทำการบอกหนทาง คือ บอกหรือกระซิบข้างหูว่าให้นึกถึงพระอรหันต์ หรือภาวนา
อรหัง สัมมา ฯลฯ
เหตุแห่งการบอกหนทางเช่นนี้เพราะมีความเชื่อกันว่า คนเราเมื่อจะหมดลมหายใจวิญญาณจะออกจากร่าง แต่จะไปสู่สุคติหรือทุกขคติ ย่อมขึ้นอยู่กับจิตสำนึกครั้งสุดท้าย การบอกหนทางแก่ผู้ตายก็เพื่อให้ดวงวิญญาณได้ไปสู่สุคติหรือสู่สัมปรายภพ คือภพใหม่ที่ดี
ตำนานความเป็นมา
มีคตินิยามเกี่ยวกับเรื่องกรวยดอกไม้ธูปเทียนและการบอกหนทางแก่ผู้ตายอยู่ว่า พรานป่าผู้หนึ่งเมื่อมีชีวิตอยู่ได้ล่าสัตว์ขายเป็นอาชีพครั้นเมื่อเจ็บหนักใกล้จะหมดลมหายใจได้เห็นวิญญาณของสัตว์ที่ตนเคยฆ่าจำนวนมากมาปรากฏอยู่ตรงหน้าจึงเกิดความสะดุ้งหวาดกลัวต่ออกุศลที่กระทำไว้พรานได้บอกเรื่องราวแก่ภิกษุลูกชายของตน
ภิกษุผู้เป็นลูกชายของพรานได้ให้บิดาพนมมือแล้วจัดกรวยดอกไม้ธูปเทียนใส่ในมือเพื่อนำไปใช้เป็นเครื่องบูชาพระรัตนตรัย ครั้นเมื่อบิดาใกล้จะหมดลมหายใจภิกษุได้เตือนให้บิดาของตนรำลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัย โดยกล่าวคำว่า
สัมมา อรหัง หรือ สัมมา สัมพุทโธให้นึกถึงพระอรหันต์
คนเจ็บใกล้หมดลมหายใจเราเรียกว่าอยู่ในช่วงใกล้มรณะญาณโสตประสาทและจักษุประสาท (หูและตา) ยังไม่ดับสนิทเมื่อเห็นอาการว่าใกล้จะหยุดหายใจ ให้พยายามดูแลใกล้ชิดนำกรวยดอกไม้ธูปเทียนที่จัดเตรียมไว้ใส่มือพนม พร้อมบอกหนทางแก่คนเจ็บ
คนโบราณเชื่อว่าควรให้คนป่วยได้ใส่เสื้อผ้าชุดใหม่และนำเงินติดกระเป๋าให้ด้วยเพราะเมื่อดวงวิญญาณออกจากร่างแล้ว จะได้ใส่เสื้อผ้าชุดใหม่และมีเงินทองติดกระเป๋าสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปสู่โลกของวิญญาณ
ลางบอกเหตุแห่งการมรณะ
ก่อนที่จะถึงมรณะญาณจะมีสิ่งบอกเหตุหลายอย่างสำหรับคนป่วย เช่น กินสั่งลา ไฟธาตุแตก เป็นต้น
กินสั่งลา คืออาการของคนป่วยที่เจ็บหนักมาเป็นเวลานาน กินข้าวกินน้ำไม่ค่อยได้ แล้วจู่ๆ ก็มีอาการเหมือนหายป่วย ดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา ขอข้าวขอน้ำกินหลังจากนั้นอีกไม่นานก็จะหมดลมหายใจหรือตายอย่างสงบ ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า กินสั่งลา
ไฟธาตุแตกคนป่วยจะปล่อยอุจจาระปัสสาวะออกมาอย่างไม่รู้ตัว ลูกหลานจะรีบทำความสะอาดและเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ สิ่งที่น่าสังเกตุก็คือคนไข้หรือคนชราที่นอนเจ็บอยู่นั้น ตัวจะเย็นผิดปกติหากเย็นจากปลายเท้ามาขึ้นตามลำดับเรียกว่า ตายขึ้นหากตายแล้วร่างกายจะเย็นจากตัวลงสู่ปลายเท้า เรียกว่า ตายลง เป็นภาษาชาวบ้าน
มีคติความเชื่ออันหนึ่ง กล่าวว่าหากมีนกแสกมาเกาะที่หลังคาบ้านที่มีคนป่วย หรือบินผ่านพร้อมส่งเสียงร้องในเวลากลางคืน แสดงว่าคนป่วยนั้นถึงกาลหมดอายุ เพราะนกแสกเป็นพาหนะของพญายม
ของถูกผีทับ
เป็นคติความเชื่อของชาวบ้านว่าเมื่อก่อนที่คนเจ็บจะหมดลมหายใจ ต้องนำยาที่ใช้รักษาพยาบาลออกไปไว้นอกบ้านมิฉะนั้น เมื่อคนเจ็บตาย ยานั้นเรียกว่าของถูกผีทับไม่สามารถนำมาใช้ได้เพราะคุณภาพเสื่อมบางทีเชื่อถึงขนาดต้องนำคาถาเลขยันต์ของศักดิ์สิทธิ์ออกไปนอกตัวบ้านก่อนที่คนเจ็บจะตาย มิฉะนั้นของจะเสื่อมต้องนำไปถวายวัดหรือนำไปเข้าพิธีปลุกเสกใหม่เป็นคติความเชื่อของคนโบราณซึ่งในปัจจุบันไม่ค่อยยึดถือปฏิบัติกันแล้ว
การจุดเทียนขี้ผึ้ง
ในสมัยโบราณ เมื่อคนเจ็บสิ้นลมหายใจแล้วให้จุดเทียนขี้ผึ้งหนัก ๑ บาทมีไส้ ๗ ไส้ไว้จนกว่าเทียนดับเป็นอันสิ้นสงสัยเพราะคนป่วยตายแน่ทั้งนี้เนื่องจากบางทีคนป่วยอาจสลบหรือเพียงหมดสติไปชั่วคราวเท่านั้นจึงไม่ผลีผลามรีบร้อนจัดการศพในทันทีที่สิ้นใจ
การเฝ้าศพหรือเฝ้าผี
หากมีคนตายในบ้านในเวลาค่ำไม่สามารถนำศพบรรจุโลงได้ทัน จะต้องมีการนอนเฝ้าศพหรืออยู่เป็นเพื่อนศพโดยการนำผ้าขาวหรือผ้าห่มมาคลุมศพไว้ตั้งแต่หัวถึงเท้าจุดตะเกียงหรือเปิดไฟให้สว่าง ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดความวังเวงน่ากลัวนั่นเอง
คติความเชื่อเกี่ยวกับแมวดำ
คนโบราณเชื่อกันว่า ถ้าแมวดำกระโดดข้ามศพจะทำให้ศพนั้นผุดลุกขึ้นมาหรือทำให้ปีศาจคนองด้วยเหตุนี้หากศพนอนอยู่ในที่ซึ่งมีฝาเรือนกั้นไม่มิดชิดต้องกางมุ้งให้ศพด้วยบางท้องที่จะให้ศพนอนตรงรอด หรือขื่อบ้านหันหัวศพไปทางทิศตะวันตกเพราะเชื่อกันว่าเป็นทิศของคนตายด้วยเหตุนี้จึงถือคติไม่นอนหันศีรษะไปทางทิศตะวันตก
คติความเชื่อเกี่ยวกับการกางมุ้งให้ศพ
การนำผ้าห่มมาคลุม หรือกางมุ้งให้ศพก็เพื่อไม่ให้มองเห็นแล้วเกิดความกลัว ต้องระวังอย่ายกหรือถือข้าวของข้ามศพเพราะถือเป็นการไม่ให้ความเคารพบางคนมีคติความเชื่อว่าต้องกางมุ้งให้ศพเพียง ๒ หูคร่อมศพไว้และเมื่อคนป่วยสิ้นใจลูกหลานอาจร้องไห้เศร้าโศกอาลัยรักควรระวังอย่าให้น้ำตาไปโดนร่างของศพเพราะเชื่อกันว่าจะทำให้วิญญาณของผู้ตายเป็นห่วงลูกหลานไม่ยอมไปสู่สุคติ
การอาบน้ำศพ - พิธีรดน้ำศพ
การอาบน้ำศพเป็นธรรมเนียมอย่างหนึ่งในพิธีทำศพซึ่งจะทำกันก่อนนำศพใส่โลง เหตุที่ต้องมีการอาบน้ำศพเพราะต้องการให้ร่างกายของคนตายสะอาดบริสุทธิ์เช่นเดียวกับที่พวกพราหมณ์ในอินเดียลงอาบน้ำชำระบาปในแม่น้ำ
ในสมัยโบราณการอาบน้ำศพจะทำการอาบกันจริงๆ คือต้มน้ำด้วยหม้อดิน ซึ่งในหม้ออาจใส่ใบไม้ต่างๆต้มลงไปด้วยเช่น ใบหนาด ใบส้มป่อย ใบมะขามใบหนาดนั้นถือกันว่าเป็นใบไม้ทีผีกลัวและใช้ปัดรังควานได้
การอาบน้ำศพจะอาบด้วยน้ำอุ่นก่อนแล้วจึงอาบด้วยน้ำเย็นอีกครั้ง ฟอกด้วยส้มมะกรูด เมื่อล้างจนสะอาดหมดจดแล้วจึงฟอกด้วยขมิ้นชันสดและผิวมะกรูดตำละเอียดต่อจากนั้นจึงทำการแต่งตัวให้ศพ
แต่การอาบน้ำศพในปัจจุบัน เรียกว่าพิธีรดน้ำศพคือใช้น้ำพุทธมนต์หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าน้ำมนต์ ผสมกับน้ำฝนหรือน้ำสะอาดบางทีใช้น้ำอบไทยร่วมด้วยเพื่อให้เกิดความหอม เมื่อถึงเวลาอาบน้ำศพซึ่งจะทำกันหลังจากที่คนป่วยตายไม่นานนักเพราะศพยังสดอยู่ญาติมิตรและผู้คนทั่วไปกล้าที่จะเข้าใกล้ เนื่องจากยังไม่มีกลิ่นหรือขึ้นอืดสัปเหร่อหรือผู้ใหญ่จะจัดให้ศพนอนในที่อันสมควรจับมือข้างหนึ่งยื่นออกมายังหมอนใบเล็กที่รองรับ
ลูกหลานของผู้ตายจะทำหน้าที่ใช้ขันใบเล็กๆ ตักน้ำมนต์จากขันใหญ่ส่งให้กับผู้ที่มาทำการรดน้ำศพโดยการเทน้ำลงบนมือของผู้ตาย กล่าวคำไว้อาลัยหรือกล่าวขอให้วิญญาณของผู้ตายจงไปสู่สุคติไม่ต้องห่วงอาลัยมีกังวล
ปริศนาธรรมในการทำพิธีรดน้ำศพ
การรดน้ำศพเป็นปริศนาธรรม ให้เห็นว่าคนเราเมื่อตายไปแล้วแม้นำของหอมหรือน้ำอบน้ำมนต์ใดๆ มาราดรด ก็ไม่อาจที่จะฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่ควรประมาทเร่งขวนขวายสร้างบุญกุศลและคุณงามความดีไว้ เพราะท่านยังโชคดีที่มีโอกาสได้กระทำส่วนคนที่ตายนั้นหมดโอกาสไปแล้ว
การแต่งตัวให้ศพ การหวีผมให้ศพและปริศนาธรรม
เมื่อทำพิธีอาบน้ำศพเสร็จเรียบร้อยแล้วต้องจัดการแต่งตัวหวีผมศพให้เรียบร้อย เกี่ยวกับการหวีผมให้ศพนั้นมีคติความเชื่อเป็นหลายนัย บ้างให้หวีสามหนเท่านั้นบ้างก็ว่าให้หวีกลับไปข้างหน้าซีกหนึ่งไปข้างหลังอีกซีกหนึ่งหมายถึงหวีสำหรับคนตายครึ่งหนึ่งสำหลับคนเป็นครึ่งหนึ่ง
หลังจากหวีผมเสร็จจะต้องหักหวีที่ใช้ทิ้งหรือโยนใส่ไปในโลงศพ ตอนหักหวีให้กล่าวเป็นภาษาบาลี "อนิจจังทุกขัง อนัตตา" เป็นปริศนาธรรม หมายถึงความไม่เที่ยงแห่งสังขาร แม้หวีดีๆ ก็ยังต้องหักเป็นท่อนใช้การไม่ได้ในวันหนึ่งชีวิตของมนุษย์เราก็เช่นกัน
หวีที่ใช้หวีผมให้ศพนั้นคนเป็นจะไม่นำมาใช้อีก จึงต้องหักทิ้ง
การนุ่งผ้าให้ศพ
เมื่ออาบน้ำ หวีผม ให้ศพเสร็จแล้ว ต่อไปก็เป็นการนุ่งผ้าแต่งตัวให้ศพซึ่งจะกระทำไม่เหมือนกับการแต่งตัวของคนเป็น คือ
๑. ให้ใช้ผ้าขาวนุ่งในชั้นแรกเอาชายพกไว้ข้างหลังแล้วนำเสื้อขาวมาสวมให้โดยเอารังดุมไว้ข้างหลังให้ต่างกับการใส่เสื้อคนเป็นแล้วเย็บเนาเป็นตะเข็บลงมาหาเอวทั้ง ๒ ข้าง ให้ห่มผ้าเฉียงจากขวามาซ้าย
๒. เสร็จแล้วจึงนำเสื้อผ้าใหม่อีกชุดหนึ่งมาสวมใส่ทับข้างนอกอย่างที่คนธรรมดาใส่กันทั่วไปตามปกติ
ปริศนาธรรมของการนุ่งผ้าให้ศพ
การแต่งตัวนุ่งห่มให้ศพของคนโบราณแบบนี้เป็นปริศนาธรรมให้เห็นว่า คนเราเกิดด้วยทิฏฐิ ตายด้วยทิฏฐิ อวิชชาปิดหน้าปิดหลังการนุ่งห่มอย่างแรกหรือชั้นแรกที่อยู่ข้างใน หมายถึงความตาย การนุ่งห่มชั้นนอกหมายถึงการเกิด อันคนเรามีเกิดแล้วก็มีวันดับวนเวียนอยู่ในสังสารวัฎ
ในปัจจุบัน ไม่ค่อยได้ทำพิธีอาบน้ำศพแต่งตัวและนุ่งผ้าศพอย่างสมัยโบราณกันแล้ว คงมีแต่การรดน้ำศพที่มีดังกล่าวมาแล้วส่วนเสื้อผ้านั้นนิยมสวมใส่ชุดใหม่ให้ศพ
การทำศพของคนโบราณมีปริศนาธรรมอยู่ทุกขั้นตอน ตั้งแต่เริ่มรดน้ำศพ ไปจนถึงตอนเผา
ประเพณีที่ปฏิบัติเกี่ยวกับการทำศพอีก ๒ อย่างที่ยึดถือกันมา คือ
การตำหมากใส่ปากศพ และ
การนำเงินใส่ปากศพ
การตำหมากใส่ปากศพ
เมื่อทำพิธีอาบน้ำแต่งตัวและรดน้ำศพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ให้ตำหมากใส่ปากศพ ๑คำหรือถ้าคนตายยังมีฟันอยู่ ก็ใช้หมากเจียนพลูที่เป็นคำๆ หักใส่ปากศพเป็นปริศนาธรรมว่า แม้หมากพลูที่คนตายเคยชอบนักหนาเมื่อตายแล้วก็ไม่สามารถเคี้ยวกินได้ขนาดตำป้อนให้แล้วก็ยังไม่รู้จักเคี้ยวไม่รู้จักคาย หรือแม้แต่ทรัพย์สมบัติทั้งหลายตายไปก็ไม่มีใครนำติดตัวไปได้นอกจากบุญกุศลและคุณความดีที่สร้างไว้เท่านั้นที่จะติดตัวไป
การนำเงินใส่ปากศพ
การนำเงินใส่ปากศพ มีคติที่มาหลายนัยบ้างว่าเป็นปริศนาธรรมเช่นเดียวกับการตำหมากใส่ปากศพ คือตายแล้วก็ไม่สามารถเอาทรัพย์สินติดตัวไปไม่ได้แม้เงินที่อมไว้ในปากสัปเหร่อก็ล้างเอาไปเสียอีกนัยหนึ่งบอกว่าคนสมัยโบราณเอาเงินใส่ปากศพเพื่อให้สัปเหร่อเป็นค่าจ้างเผา
บางคติว่าเงินที่ใส่ปากศพนั้นสำหรับให้วิญญาณของคนตายใช้เป็นค่าเดินทาง หรือค่าจ้างสำหรับคนพายเรือที่ทำหน้าที่พาดวงวิญญาณของผู้ตายข้ามแม่น้ำไปสู่ดินแดนของคนตายหรือโลกของวิญญาณ
นอกจากคนไทยแล้ว ชนชาติอื่นๆ เช่น จีน กรีกโบราณยิว ฯลฯ ก็มีการนำเงินใส่ปากศพโดยมีคติเกี่ยวกับความเชื่อแตกต่างกันไป
การปิดหน้าศพ
ในสมัยโบราณการทำศพบางแห่งจะมีการปิดหน้าศพด้วยขี้ผึ้งหนาประมาณครึ่งนิ้วกว้างพอปิดหน้าศพได้พอดีบางทีปิดเฉพาะดวงตาและปากเท่านั้น หรือใช้ผ้าปิดแทนทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันภาพอุจาดตาและป้องกันไม่ให้แมลงมาวางไข่
การมัดตราสัง
ก่อนนำศพใส่โลก ต้องทำพิธีมัดตราสังด้วยด้ายสายสิญจน์ นิยมมัดเป็น ๓ เปลาะ คือที่คอ ที่มือและที่เท้า มีผู้แต่งคำโครงอธิบายปริศนาธรรมของการมัดตราสังเป็น ๓เปลาะไว้ดังนี้
มีบุตรห่วงหนึ่งเกี้ยว
พันคอ
ทรัพย์ผูกบาทาคลอ
หน่วงไว้
ภริยาเยี่ยงอย่างปอ
รึงรัด มือนา
สามห่วงใครพ้นได้
จึงพ้นสงสาร
ในการมัดตราสังศพ
เมื่อนำบ่วงคล้องคอ สัปเหร่อจะว่าคาถา ปุตโต คีวหมายความว่า ลูกคือห่วงผูกคอ เมื่อเวลามัดว่าคาถารัดประคดอก เป็นห่วงที่๑
แล้วโยงเชือกมากลางตัว ทำเป็นห่วงตะกรุดเบ็ดผูกหัวแม่มือของศพที่พนมมือกรวยดอกไม้ธูปเทียนอยู่ รวบมือศพผูกให้พนมไว้ที่หน้าอกว่าคาถา ธน หตุเถ ความหมายว่า ทรัพย์คือห่วงผูกมือ ในเวลามัดว่าคาถารัดประคดเอวเป็นห่วงที่ ๒
แล้วโยงเชือกมาที่เท้าทำเป็นบ่วงผูกหัวแม่เท้ารวบรัดเท้าผูกให้ข้อเท้าทั้งสองติดกันว่าคาถา ภริยา ปาเท หมายความว่า ภรรยา คือห่วงผูกเท้าเป็นห่วงที่ ๓ (แม้ศพผู้หญิงก็ว่าคาถาแบบเดียวกัน) บางตำราว่าใช้คาถา ธน ปาเทไม่ใช่ ภริยา ปาเท และบางตำราก็ให้ผูกจากเท้าขึ้นมาก่อน
เสร็จแล้วให้เอาผ้าขาวผืนใหญ่ห่อตัวศพโดยขมวดไว้ด้านศีรษะ เพื่อจะได้เป็นการสะดวกเมื่อเวลาเปิดเอาน้ำมะพร้าวล้างหน้าศพก่อนเผา แล้วเอาด้ายดิบขนาดนิ้วหัวแม่มือมัดเป็นเปลาะๆ ให้แน่นเป็น ๕ เปลาะ เป็นปริศนาธรรม หมายถึง นิวรณ์ ๕ คือ
๑. กามฉันทะ
๒.ความพยาบาท
๓. ความง่วงเหงาหาวนอน
๔.ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ
๕. ความลังเลใจ
ทั้ง ๕ ประการนี้คือสิ่งขวางกั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี
เหตุที่ต้องมัดศพอย่างแน่นหนาเพราะในสมัยโบราณไม่มียาสำหรับฉีดรักษาศพจึงต้องมัดไว้ให้ดีเพื่อให้ผ้าซับเลือดน้ำเหลืองและป้องกันโลงแตกเพราะศพขึ้นอืด
พิธีเบิกโลง
พิธีเบิกโลงในแต่ละท้องที่อาจมีแตกต่างกันไปบ้างหลังจากทำพิธีมัดตราสังเสร็จแล้ว จะไม่นำศพใส่โลงในทันที ต้องทำพิธีเบิกโลงก่อน โดย
เอาไม้ไผ่มาจักเป็นซีกเล็กๆ ทำเป็นบันได ๔ ขั้น หรือให้มี๓ ช่องกว้างยาวเท่ากับโลง สำหรับวางบนปากโลง
เอาเฝือกผืนหนึ่งทำด้วยไม้ไผ่ ๗ ซีกถักติดกันเหมือนแร่งวางก้นโลงเอาผิวไม้ขึ้น ไว้ระยะห่างเพื่อรองรับอย่างเสื่อ
แล้วจึงเอาไม้ไผ่มาผ่าให้โตขนาดนิ้วก้อย ยาวพอสมควรผ่าข้างหนึ่งสำหรับคาบปากโลงเป็นระยะจนครบ ๘ อันเป็นทำนองไม้ตับปิ้งปลาและผ่าอีกข้างหนึ่งสำหรับคาบสายสิญจน์วางทางขวาก่อนให้รอบโลง ไม้นี้เรียกว่าปากกาจับโลง
เอาเทียน ๘ เล่มพาดที่ปากโลงระหว่างปากกาทั้ง ๘ ช่องกับมีกระทงใบตองขนาดเล็กใส่กุ้งพล่าปลายำ หรือจะเป็นอาหารอย่างอื่นๆ ก็ได้นำมาวางบนปากโลงทั้ง ๘ ช่องใกล้เทียนที่ติดไว้ ให้เป็นเครื่องสังเวยเทพทั้ง ๘ทิศ
สัปเหร่อจะทำน้ำมนต์สำหรับรดโลงต้องเตรียมขันและเทียนติดพาดปากขันเล่มหนึ่ง เงินค่ายกครู แต่ก่อนประมาณ ๖สลึง
สัปเหร่อจุดเทียนเป็นคู่ๆ ตั้งแต่ด้านปลายเท้าไปด้านศีรษะแล้วตั้งต้นทำน้ำมนต์ธรณีสาร ใช้สำหรับประพรมแก้เสนียดจัญไรแล้วว่าคาถา
สิโรเม พุทธเทวญจ
นลาเฏ พรหมเทวตา
หทย นรายกญเจว
เทวหตปรเม สุราฯ
ปาเท วิสสณุกญเจว
สพพกมมา ปสิทธิ เม
เป็นการเชิญ พระพุทธ พระธรรม พระนารายณ์พระปรเมศวร พระวิศวกรรม มาเข้าสิงกายให้ทำกรรมต่างๆ สำเร็จ บทตั้งแต่ สิทธิกิจจเป็นบทให้พระเจ้าเรือน มีดังนี้
สิทธิกิจจสิทธิกมม
สิทธการิย ตถาคโต
สิทธิลาโภนิรนตร
สิทธิเตโช ชโย นจจ
สิทธิกมม ปสิทธิเม
สพพสิทธิ ภวนตุ เม
เสร็จแล้วสัปเหร่อจะนำน้ำมนต์ลูบหน้าเสยผม ๓ ครั้งประพรมโลง ๓ หน หยิบเทียนที่ติดปากโลงมาจุดด้ายสายสิญจน์ที่วงรอบโลงจุดเทียนเป็นคู่ๆ จากปลายเท้าให้ไหม้ขาดทุกช่อง เว้นช่องด้านสกัดที่จะใช้เป็นหัวโลงเอามีดหมอ กดด้ายสายสิญจน์ที่กลางหัวโลงเสกคาถาว่าพุทธปจจกขามิ ธมม หจจกขามิ สงฆ ปจจกุขามิ๓ หน
ความนี้สัปเหร่อจะถามว่า โลงของใคร ลูกหลานก็ตอบว่าโลงของ...(ชื่อผู้ตาย) หรือบางที สัปเหร่อก็ถามเองตอบเอง บางทีถามหนเดียวบางทีก็ถามตอบอย่างนั้น ๓ หน
เสร็จแล้วสัปเหร่อจึงเอามีดหมอสับปากโลง ๓ ครั้งโดยการสับตรงกลางก่อน แล้วจึงสับซ้ายขวา หรือบางทีสับเป็นรูปกากบาทเพื่อใช้เป็นเครื่องหมายว่าด้านนี้เป็นทิศศีรษะหัวโลง
ต่อจากนั้น จึงผลักเครื่องเซ่น ไม้ปากกา เทียนและด้ายสายสิญจน์ที่เหลืออยู่ลงไปในโลงให้หมดเอาใบตองบางทับเฝือกและของที่ผลักลงใส่โลงส่วนใหญ่นิยมใช้ใบตองต้นกล้วยตานีที่ใบไม่แตกยอดไม่หัก ๓ ยอดมาปู
ด้วยเหตุนี้ในการตัดใบตองมาใช้ทั่วไป ชาวบ้านจึงหักยอดเสียก่อนเพราะใบตองที่ไม่ได้หักยอดถือว่าเป็นใบตองรองผี
เฝือก ใบตองที่ใส่ในโลงศพล้วนเป็นปริศนาธรรมทั้งสิ้น คือ ชี้ให้เห็นว่าร่างกายของเราก็เหมือนกับเฝือกที่นำไม้ไผ่มาสานต่อกันเป็นซี่ๆในที่สุดก็ต้องแยกสลายจากกัน
การนำศพไปวัด
การเคลื่อนย้ายศพไม่ว่าจะเพื่อนำศพไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัด เคลื่อนศพจากบ้านไปเผามีธรรมเนียมปฏิบัติดังนี้
หากเป็นการตั้งศพสวดอภิธรรมที่บ้านในวันเคลื่อนศพไปเผาที่วัด เจ้าภาพจะนิมนต์พระสงฆ์มาฉันเช้าที่บ้านส่วนใหญ่นิยมนิมนต์เพียง ๔ รูปหรือตามต้องการแต่เมื่อฉันเช้าเสร็จแล้วนิมนต์พระเพียง ๔ รูปทำหน้าที่จูงศพไปวัดหากมีลูกหลานผู้ตายบวชเณรหน้าศพ ก็ให้มาร่วมจูงศพด้วย โดยเดินต่อจากพระ
หากต้องการนำศพไปตั้งสวดอภิธรรมที่วัดก็ให้พระมาจูงศพเช่นเดียวกันหลังจากที่สัปเหร่อทำพิธีนำศพใส่โลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่หากมืดค่ำกะทันหันก็อาจตั้งศพไว้ที่บ้านคืนหนึ่งครั้นรุ่งเช้าจึงค่อยนิมนต์พระมาฉันเช้าแล้วจูงศพไปวัด
การเคลื่อนขบวนศพ
ในการเคลื่อนขบวนศพนั้นให้ลูกหลานของผู้ตายถือกระถางธูป และรูปของผู้ตายนำหน้าต่อมาจึงเป็นพระสงฆ์ ๔ รูปถือสายสิญจน์ที่ต่อมาจากการมัดตราสังศพและโยงออกมาหน้าโลงซึ่งสัปเหร่อได้จัดเตรียมไว้ไห้แล้วสายสิญจน์ที่ให้พระจับเวลาสวดศพทุกคืนก็ใช้เส้นเดียวกันนี้
สำหรับญาติพี่น้องคนอื่นๆ ก็ช่วยกันแยกโลงศพหรือนำศพตั้งไว้บนรถเข็นช่วยกันเข็นประคองตามกันไปเป็นขบวนเดินไว้อาลัยไปตลอดทางจนกว่าจะถึงวัดหากวัดอยู่ไกลจะใช้รถยนต์เป็นพาหนะในการเคลื่อนศพก็ได้หากไม่ต้องการนำรถของตนเองมาขนศพเพราะเชื่อเกี่ยวกับโชคลางก็สามารถขอเช่ารถของทางวัดหรือมูลนิธิได้
การนำศพออกจากบ้าน
เมื่อจะเริ่มเคลื่อนศพตามคติโบราณจะไม่ยกศพออกทางประตูเหมือนคนปกติ และไม่ให้ศพลอดใต้ขื่อบางทีก็ต้องรื้อฝาบ้านข้างหนึ่งเพื่อนำศพออกก็มีทั้งนี้เพราะเรือนสมัยก่อนประตูค่อนข้างเล็กและขื่อเตี้ยการยกศพต้องช่วยกันหลายคนจึงเบียดเสียดไม่สะดวกฝากระดานของบ้านสมัยก่อนสามารถถอดออกได้สะดวกเพราะใช้วิธีเข้าลิ่มไม่ได้ทำตายตัวเหมือนปัจจุบัน
เมื่อยกศพออกทางฝาบ้าน ต้องทำบันได ๓ขั้นไว้เป็นทางลง ไม่ลงบันไดเดียวกับคนเป็นใช้อยู่ประจำ บันได ๓ขั้นนี้ทำไว้ชั่วคราวไม่แข็งแรงนัก พอคนขึ้นลงก็หักโดยง่าย เป็นเคล็ดความเชื่อว่าทำให้วิญญาณไม่สามารถหาทางย้อนกลับมาบ้านได้ จะได้ไปผุดไปเกิดเสียไม่มัววนเวียนอยู่บนโลกด้วยความเป็นห่วงลูกหลานและทรัพย์สมบัติ
แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยถือเคร่งครัดเท่าไรนักเพราะบางทีฝาบ้านเป็นปูนหรืออิฐหากทลายเพื่อเอาศพออกคงเป็นเรื่องใหญ่แน่
การทำประตูป่า
ประตูป่า คือการนำกิ่งไม้มาปักไว้ตรงประตูที่จะนำศพออกจากบ้านโดยรวบกิ่งไม้มัดไว้เป็นซุ้มหรือคูหา เมื่อนำศพออกไปพ้นประตูแล้วก็ให้รื้อทิ้งเสียเพราะเชื่อกันว่า วิญญาณของผู้ตายจะกลับบ้านไม่ได้เพราะประตูป่าที่จำไว้เป็นเครื่องหมายถูกรื้อไปแล้ว หากมองเป็นปริศนาธรรมก็คือคนที่ตายไปแล้วย่อมไม่สามารถย้อนกลับหรือฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้อีกเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่หากไม่เร่งสร้างคุณงามความดีก็เป็นสิ่งที่น่าเสียดายเพราะคนตายนั้นไม่มีโอกาสเช่นเราอีกแล้ว
การชักฟาก ๓ ซี่
เป็นคติความเชื่อเช่นกันสมัยโบราณใช้ไม้ไผ่มาผ่าทำฟากเป็นซี่ๆ สำหรับปูพื้นเรือนและทำฝาเมื่อนำศพออกจากบ้านแล้ว ให้ซักฟากออก ๓ ซี่ เพื่อลวงไม่ให้วิญญาณจำบ้านได้และปริศนาธรรม อธิบายเกี่ยวกับเรื่องไตรลักษณ์ คือ รูป สังขาร วิญญาณล้วนเป็นสิ่งไม่เที่ยงไม่จีรังยั่งยืน เมื่อความตายมาเยือนไม่มีใครสามารถหลีกหนีได้ต้องละสังขารทิ้งร่างไว้เหมือนกับเรือนที่ว่างเปล่า
การตีหม้อน้ำและหม้อไฟนำศพ
ในสมัยโบราณ เมื่อนำศพออกจากบ้านแล้วจะมีการตีหม้อน้ำ ๓ ใบ ด้วยไม้ซีก (ไม่นิยมใช้ไม้ท่อนเพราะต้องหักทิ้ง)เมื่อตีหม้อดินใส่น้ำซึ่งเตรียมไว้แตกแล้ว ก็หักไม้ทิ้งเสียเป็นปริศนาธรรมหมายถึงการแตกสลายของสังขาร หรือธาตุต่างๆ เช่นธาตุน้ำที่มาชุมนุมกันเป็นร่างกายเมื่อแยกออกจากกันแล้วก็ต้องกลับไปเป็นธาตุเหล่านั้นเหมือนเช่นเดิม
สำหรับหม้อไฟ หรือตะเกียงที่จุดไว้หน้าศพนั้นเมื่อเวลาเผาศพก็นำใส่เข้าไปในกองฟืนขณะที่ตีหม้อน้ำทั้ง ๓ ใบทิ้งนั้นคนบนเรือนก็ใช้พัดโบกไปทั้ง ๔ ทิศ
การซัดข้าวสาร
การซัดข้าวสารในปัจจุบันไม่นิยมทำกันแล้วแต่สมัยโบราณเมื่อนำศพออกจากบ้านต้องทำการซัดข้าวสารหรือบางทีก็ซัดเกลือขึ้นไปบนหลังคาด้วย พร้อมว่าคาถา
คจฉ อมุมหิ พุทธปัด แปลใจความได้ว่าจงไปทางโพ้นเถิด พระพุทธเจ้าปัดแล้ว
เป็นการขับไล่เสนียดจัญไรหรือความอัปมงคลทั้งหลายให้จากไป
การโปรยข้าวตอกข้าวสาร
ในระหว่างที่เคลื่อนศพไปวัดนั้นบางทีมีการโปรยข้าวตอกหรือข้าวสารไปตลอดทาง เป็นปริศนาธรรมเตือนใจว่าข้าวตอกข้าวสารไม่งอกขึ้นมาได้อีกฉันใดคนที่ตายย่อมไม่อาจฟื้นขึ้นมาฉันนั้น
การใช้ไม้ขีดทางนำหน้า
การใช้ไม้ขีดทางนำหน้าเมื่อเคลื่อนขบวนศพก็เป็นปริศนาธรรมเช่นกัน หมายถึงการเดินตามกันไปเป็นวัฏสงสารในวันนี้เรานำศพคนตายไปเผา วันต่อๆ ไป ทุกคนก็ต้องไปตามเส้นทางสายนี้เช่นเดียวกันไม่มีใครสามารถหลีกหนีพ้นได้
ขบวนศพห้ามผ่านเรือกสวนไร่นา
ในสมัยโบราณหนทางยังไม่ค่อยสะดวกนักการหามศพต้องหามไปตามทางเดินจะลัดผ่านไร่นาของคนอื่นไม่ได้อาจเพราะมีความเชื่อเกี่ยวกับความตายว่าเป็นอัปมงคล หรือขบวนแห่มีคนเป็นจำนวนมากหากเดินตัดผ่านไร่นาอาจไปเหยียบข้าวกล้าพืชไร่ได้รับความเสียหาย
การเรียกบอกหนทางแก่วิญญาณผู้ตาย
เมื่อนำศพไปวัดขบวนแห่ศพผ่านที่ไหนลูกหลานผู้ตายก็จะเอามือเคาะโลงเพื่อบอกให้รู้ตัวไปตลอดทาง เช่นลงจากบ้านแล้ว เลี้ยวขวาไปตามทาง ผ่านโรงเรียนแล้ว ข้ามสะพานแล้ว ถึงวัดแล้วทั้งนี้เป็นคติความเชื่อว่า เพื่อให้วิญญาณของผู้ตายตามร่างไป
การไปงานศพ (ไปฟังพระสวด)
เมื่อไปถึงควรแสดงความเสียใจต่อเจ้าภาพแต่บางครั้งต้องดูตามสถานการณ์เพราะการพูดกระตุ้นให้เจ้าภาพเกิดความเศร้าโศกขึ้นมาอีกคงไม่เหมาะสมนัก บางทีเจ้าภาพยุ่งอยู่กับการต้อนรับแขกจนเกือบจะลืมเหตุการณ์ที่ต้องสูญเสียคนที่รักไปได้ชั่วคราวแล้วผู้ไปเคารพศพอาจแสดงออกด้วยอากัปกิริยาแทนคำพูดก็ได้
เจ้าภาพหรือตัวแทนของเจ้าภาพจะนำไปจุดธูปเคารพศพหากมีการจัดที่พุทธบูชาไว้ด้วยเช่น
เมื่อนำศพไปตั้งสวดอภิธรรมที่วัดต้องจุดธูปเทียนไหว้พระก่อน ด้วยธูปสามดอกแล้วจึงจุดธูปไหว้ศพเพียงดอกเดียวบางแห่งลูกหลานของผู้ตายจะคอยจุดธูปส่งให้กับแขก หากต้องจุดธูปเองควรใช้ไม้ขีดหรือจุดกับตะเกียงที่ตั้งไว้ต่างหากอย่ายื่นธูปไปจุดกับเทียนที่ตั้งไว้หน้าศพ เป็นการไม่เหมาะสม
หากนำพวงหรีดไปไว้อาลัยควรส่งให้เจ้าภ