ภายหลังเกิดเหตุอดีตคู่หูนักแบดมินตันไทย "อาท" บดินทร์ อิสสระ กับ "เอ" มณีพงศ์ จงจิตร ก่อเรื่องไล่ต่อยกันในสนามระหว่างการแข่งขันแบดมินตันอาชีพระดับกรังด์ปรีซ์ "โยเน็กซ์ แคนาดา โอเพ่น" รอบชิงชนะเลิศ ชายคู่ ที่ประเทศแคนาดา ซึ่งคู่ของบดินทร์กับ "ท็อป" ภควัฒน์ วิไลลักษณ์ และคู่ของมณีพงศ์กับ "ต้นน้ำ" นิพิฐพนธ์ พวงพั่วเพชร เข้ามาชิงกันเอง เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคมที่ผ่านมานั้น
เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม นางรุ่งนภา พินทุวัฒน์ ผู้จัดการทีมแบดมินตันไทย เปิดเผยว่า หลังเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น และได้มีการแยกนักกีฬาทั้งสองออกจากกันแล้ว "เอ" มณีพงศ์ ได้ไปวอร์มดาวน์อยู่ที่สนามข้างๆ แต่ปรากฏว่า "อาท" บดินทร์ ซึ่งยังคงสงบสติอารมณ์ไม่อยู่ ได้วิ่งเข้าไปหามณีพงศ์อีกครั้ง แต่มณีพงศ์วิ่งหนีได้ทัน โดยวิ่งทะลุไปยังสนามที่กำลังเตรียมแข่งขันชิงชนะเลิศหญิงเดี่ยว ทำให้ไม่มีเรื่องรุนแรงเกิดขึ้นซ้ำสอง และในคืนวันเดียวกันนั้น บดินทร์ได้ถูกย้ายไปพักอีกโรงแรมหนึ่ง เพื่อตัดปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นอีก ส่วนมณีพงศ์เมื่อกลับถึงโรงแรมที่พักก็มีอาการปวดมือที่ไปรับแข้งและหมัดของบดินทร์ และมีแผลที่หลังด้วย แต่ไม่ร้ายแรงนัก ซึ่งตนได้ประสานไปยังนายเจน ปิยะทัต ประธานสโมสรแกรน
ด้านนูลาร์ ต้นสังกัดของบดินทร์ แจ้งถึงเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งนายเจนได้ยอมรับว่า บดินทร์เป็นฝ่ายผิด เบื้องต้นถูกปรับให้เป็นฝ่ายแพ้ในการแข่งขันแล้ว แต่เรื่องทั้งหมดเกิดจากทั้ง 2 ฝ่ายยั่วยุซึ่งกันและกัน ทั้งนี้ บดินทร์ก็ได้ส่งข้อความขอโทษมายังตนในฐานะผู้จัดการทีมแล้ว
"ปัญหาความแตกหักดังกล่าวยากที่จะประสานให้กลับคืนมาดังเดิม ไม่มีใครทราบสาเหตุลึกๆ ที่แท้จริงว่าทั้งคู่โกรธเกลียดกันเรื่องอะไร จึงได้ก่อเหตุร้ายแรงขนาดนี้ ทั้งที่เมื่อก่อนที่ยังเล่นคู่กัน และสนิทสนมกันมาก ไปแข่งขันตามสถานที่ต่างๆ เข้าพักในห้องเดียวกันก็ยังลากเตียงมานอนติดกัน" นางรุ่งนภากล่าว
นางรุ่งนภากล่าวอีกว่า สำหรับการเดินทางกลับไทยนั้น มณีพงศ์จะกลับด้วยสายการบินไทยไปที่ลอสแองเจลิส ก่อนมุ่งหน้ามายังสนามบินสุวรรณภูมิในวันที่ 24 กรกฎาคม เวลา 23.40 น. ในขณะที่บดินทร์จะเดินทางกลับด้วยสายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ บินตรงถึงไทยในวันและเวลาที่ใกล้เคียงกัน ทั้งนี้ หลายฝ่ายไม่ว่าจะเป็น สมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย สโมสรต้นสังกัดนักกีฬา และตัวนักกีฬาเองได้มีความพยายามประสานกันว่า จะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไรเมื่อถึงประเทศไทย จะให้ทั้งคู่จับมือกันต่อหน้าสื่อมวลชน และกล่าวขอโทษคนไทยทั้งประเทศ ก็ยังไม่มีใครแน่ใจว่าจะสามารถทำได้หรือไม่
นายสุรศักดิ์ ส่งวรกุลพันธุ์ เลขาธิการสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในวันที่ 27 กรกฎาคมนี้ สมาคมแบดมินตันฯจะนัดกรรมการบริหารประชุม เพื่อพิจารณาเหตุการณ์ครั้งนี้ ซึ่งจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 1 ชุด เพื่อสอบสวนเรื่องราวที่มาที่ไปและปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมด โดยเบื้องต้นผู้ก่อเหตุ ได้แก่ บดินทร์ ถูกปรับแพ้การแข่งขันเรียกว่าถูก "ใบดำ" และปรับเงินอีก 500 เหรียญสหรัฐ ส่วนโทษอื่นๆ ไม่สามารถคาดเดาได้ว่า สหพันธ์แบดมินตันโลก (บีดับเบิลยูเอฟ) จะพิจารณาและตัดสินอย่างไร แต่ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาสหพันธ์แบดมินตันโลกไม่เคยลงโทษนักกีฬาถึงขั้นแบนตลอดชีวิตมาก่อน
นายเจน ปิยะทัต ประธานสโมสรแกรนนูลาร์ กล่าวว่า บดินทร์รู้สึกผิดหวังกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และได้ส่งไลน์ไปขอโทษ "เอ" มณีพงศ์ว่า "กูขอโทษ" แล้ว แต่มณีพงศ์ยังไม่มีคำตอบใดๆ กลับมา ได้สอบถามทีมงานของสมาคมแบดมินตันฯถึงความเป็นไปได้ที่จะให้ทั้งคู่แถลงข่าวร่วมกัน แต่เจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่กับทีมไม่สามารถตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ ส่วนบทลงโทษของสมาคมแบดมินตันฯ และสหพันธ์แบดมินตันโลก ซึ่งมีการพูดกันถึงขั้นการลงโทษห้ามแข่งตลอดชีวิตนั้น ถ้าจะแบนบดินทร์ก็ขอให้แบนสโมสรแกรนนูลาร์ด้วย โดยบดินทร์มีคิวไปแข่งขันที่ไต้หวัน, ญี่ปุ่น และ จีน 3 รายการติดต่อกัน หากมีบทลงโทษออกมาคงไม่สามารถไปแข่งได้
"เบื้องต้นอาจจะให้บดินทร์โอนสัญชาติไปเล่นในลีกอาชีพของประเทศอื่นในรายการที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสหพันธ์แบดมินตันโลก ซึ่งเราได้เตรียมการไว้บ้างแล้ว แต่ถ้าเจ้าตัวตัดสินใจแขวนแร็กเก็ตเลิกเล่นไปก็จะให้มาเป็นผู้ฝึกสอนในสโมสร และเป็นพนักงานของบริษัท แต่ที่ผ่านมาเจ้าตัวยังไม่ได้เอ่ยปาก เพียงแต่มีการคาดการณ์กันไปต่างๆ นานา แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น บดินทร์ไม่ได้มีอาชีพอื่น เป็นนักแบดมินตันเต็มตัว ทางสโมสรแกรนนูลาร์จะดูแลบดินทร์และครอบครัวจนถึงที่สุด" นายเจนกล่าว
ด้านนายเจริญ วรรธนะสิน นายกสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทยฯ กล่าวว่า ถึงเวลานี้สมาคมยังไม่ได้รับการติดต่อใดๆ จากสหพันธ์แบดมินตันโลก มีเพียงสหพันธ์แถลงการณ์ผ่านเว็บไซต์ว่า รับทราบเรื่องนี้ และคณะกรรมาธิการด้านวินัยกำลังพิจารณาลงโทษ โดยหลักๆ แล้วการได้รับโทษในเรื่องนี้จะมีอยู่ 2 ทาง คือ จากทางสหพันธ์ที่กำลังพิจารณาอยู่ เบื้องต้นการที่คู่ของบดินทร์ถูกปรับแพ้ จะโดนปรับอย่างน้อย 500 เหรียญสหรัฐ หรือมากที่สุด 2,000 เหรียญสหรัฐ ส่วนโทษทางวินัยต้องรอผลต่อไป ขณะที่
การพิจารณาลงโทษอีกทาง คือทางสมาคมแบดมินตันฯจะเป็นผู้ดำเนินการโทษฐานที่ทำให้ชื่อเสียงของประเทศเสียหาย ซึ่งสมาคมมีระเบียบอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม การพิจารณาโทษของสมาคมจะพิจารณารอบด้าน และเป็นไปตาม พ.ร.บ.กกท. พ.ศ.2528 ซึ่งเป็นกฎหมายกีฬา ไม่ใช่กฎหมายทางอาญา โดยจะไม่ทำด้วยความเแค้น จะทำด้วยความรัก ให้รู้จักและสำนึกว่าสิ่งที่ทำลงไปเป็นสิ่งไม่สมควร ทั้งนี้ จากผลงานชายคู่ในโอลิมปิกเกมส์ 2012 ที่บดินทร์กับมณีพงศ์สร้างความสุขให้กับคนไทย ก็เป็นอีกด้านที่สมาคมจะนำมาพิจารณาประกอบกันด้วย
นายเจริญได้ให้สัมภาษณ์ในรายการเจาะข่าวเด่นของนายสรยุทธ์ สุทัศนะจินดา ทางทีวีช่อง 3 ในช่วงเย็นวันเดียวกันนี้ว่า ก่อนหน้านี้ช่วงที่มีปัญหากัน บดินทร์จะออกจากสมาคมไปสังกัดสโมสรแกรนนูลาร์ ซึ่งไม่ถือเป็นเรื่องผิดอะไร และสมาคมก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ได้หาคู่คนใหม่ให้มณีพงศ์ โดยเลือกภควัฒน์ที่เป็นดาวรุ่งอายุยังน้อย ว่านอนสอนง่าย ซึ่งทั้งคู่ก็ตระเวนแข่งขันและทำผลงานได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ส่วนกรณีของเอกับอาทนั้น คนเคยนอนห้องเดียวกัน ไปแข่งขันด้วยกัน อาจมีทะเลาะกันบ้าง แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ ถือเป็นพฤติกรรมที่น่ากลัวมาก เพราะแบดมินตันเป็นกีฬาของสุภาพบุรุษ
ขณะที่ "ท็อป" ภควัฒน์ วิไลลักษณ์ คู่หวดของบดินทร์ ได้โพสต์ข้อความขอโทษทางอินสตาแกรม เมื่อช่วงกลางดึกวันที่ 21 กรกฎาคมที่ผ่านมา และมีคนเข้ามาทั้งให้กำลังใจและต่อว่าจำนวนหนึ่ง โดยหนึ่งในนั้นคือ "เคน" ภูภูมิ พงศ์ภาณุ พระเอกหนุ่มชื่อดังของสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ซึ่งรู้จักกับภควัฒน์และบดินทร์ โดยโพสต์ข้อความให้กำลังใจว่า "ไม่รู้ว่าเรื่องเป็นมายังไง แต่ก็ขอให้จบลงด้วยดีแล้วกันนะ เป็นกำลังใจให้เพื่อน อาท ท็อป ขอให้ความผิดครั้งนี้เป็นแรงกระตุ้นให้สู้ต่อไป ผิดแล้วยอมรับแล้วทำใหม่ให้ดีกว่าเดิม สู้ๆ เพื่อน"
ส่วนสื่อต่างประเทศต่างนำเสนอข่าวดังกล่าวอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะทางสื่อออนไลน์ ซึ่งมีทั้งเนื้อหา ภาพ และคลิปวิดีโอขณะเกิดเหตุการณ์ โดยหนังสือพิมพ์ "ดิ อินดิเพนเดนต์" ของอังกฤษ ระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยิ่งตอกย้ำภาพเชิงลบให้กับวงการแบดมินตันโลก หลังจากเมื่อปีที่แล้วเกิดกรณีอื้อฉาวนักแบดมินตันหญิงจีนและเกาหลีใต้ได้รับคำสั่งจากโค้ชให้จงใจแพ้การแข่งขัน เพื่อเลี่ยงการเข้าไปพบกับเพื่อนร่วมชาติในรอบต่อไป ในการแข่งขันประเภทหญิงคู่ โอลิมปิกเกมส์ 2012 ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ จนสหพันธ์แบดมินตันโลกต้องเพิ่มกฎเป็นลายลักษณ์อักษรว่า ห้ามนักกีฬาจงใจแพ้การแข่งโดยเด็ดขาด
ส่วนเว็บไซต์ npr.org รายงานว่า ต่างฝ่ายต่างอ้างว่าโดนอีกฝ่ายหนึ่งยั่วยุก่อน ด้วยการชูนิ้วกลางใส่ ขณะที่แฟนกีฬาชาวต่างชาติหลายคนต่างก็แสดงความคิดเห็นเป็นเชิงเสียดสี เช่น ผู้ใช้นามแฝงว่า "Chebbmaster" โพสต์ในเว็บบอร์ดของหนังสือพิมพ์ "เดลี่ เมล" ของอังกฤษว่า นี่น่าจะเป็นแนวทางสำหรับกีฬาใหม่ เป็นกีฬาต่อสู้เชิงผสมผสานที่เรียกว่า "มวยไทย-แบดมินตัน" เหมือนกับที่เคยมีคนจับหมากรุกกับมวยสากลมารวมกันก่อนหน้านี้ หรือผู้ใช้นามแฝงว่า "Ed" โพสต์ในเว็บไซต์ globalnews.ca ว่า "ยินดีต้อนรับสู่ไทยไฟต์" หรือในเว็บไซต์กีฬา withleather.uproxx.com ที่เขียนว่า "จะอะไรก็เถอะ อย่างน้อยแบดมินตันก็เพิ่งดูสนุกสักครั้งนึงก็คราวนี้แหละ"
ขณะเดียวกันเว็บไซต์ globalnews.ca ได้ลงคลิปเหตุการณ์ตั้งแต่ช่วงที่สองฝ่ายโดนกรรมการเรียกไปเตือน รวมทั้งตอนที่เรื่องบานปลายเมื่อฝ่ายอาทลงมือจ้วงหมัดใส่เอ จนอีกฝ่ายวิ่งหนีไปรอบๆ สนามพร้อมหันมาเอาไม้แร็กเกตฟาดที่กกหูข้างขวา ขณะที่อาทซึ่งวิ่งไล่ก็ขว้างเก้าอี้เหล็กใส่เอ แต่ไม่โดน ในขณะที่เจ้าหน้าที่ประจำการแข่งขันได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาที่สนามด้วย แต่เมื่อเหตุการณ์คลี่คลายหมดแล้วจึงไม่มีการตั้งข้อหาใดๆ
"ลุก คอนทัวร์" นักหวดลูกขนไก่ชั้นแนวหน้าของแคนาดา ซึ่งชมการแข่งขันอยู่ด้วย กล่าวว่า เป็นเหตุการณ์ที่ช็อกมากๆ ปกติการแข่งขันแบดมินตันมักจะมีเรื่องของศักดิ์ศรี อารมณ์ที่ปะทุกันอยู่แล้ว แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่เกินเลยขนาดนี้มาก่อน
"แอนนา ไรซ์" อดีตนักแบดมินตันทีมชาติแคนาดา แสดงความเห็นว่า เมื่อองค์กรที่รับผิดชอบพิจารณาเทปบันทึกภาพเหตุการณ์แล้ว ควรจะลงโทษอย่างรุนแรง หากเป็นไปได้ก็ควรลงโทษแบนตลอดชีวิต เพราะจะยอมให้เกิดเรื่องอย่างนี้ในวงการแบดมินตันไม่ได้
สำหรับปฏิกิริยาจากแฟนกีฬาชาวไทยมีการวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นนี้อย่างกว้างขวาง ทั้งในคลิปเหตุการณ์บนเว็บไซต์ยูทูบ รวมทั้งการตั้งกระทู้ในห้องศุภชลาศัยของเว็บบอร์ดพันทิปในหัวข้อ "ฉาวโฉ่! แข่งนัดชิงแคนาดา นักแบดทีมชาติไล่ต่อยกัน" โดยเกือบทั้งหมดต่างแสดงความคิดเห็นในแนวทางเดียวกันว่า การกระทำของทั้งคู่ทำให้ประเทศไทยเสื่อมเสียชื่อเสียง และสนับสนุนให้ลงโทษแบนขั้นรุนแรง
ทั้งนี้ ตามกฎของสหพันธ์แบดมินตันโลก บทที่ 3 หมวดที่ 1 บี ภาคผนวกที่ 4 ว่าด้วยหลักปฏิบัติของนักกีฬา ระบุถึงข้อควรปฏิบัติกว้างๆ ว่า ระหว่างการแข่งขันนักกีฬาต้องปฏิบัติตนอย่างมีเกียรติและมีน้ำใจนักกีฬาไม่ใช้ถ้อยคำเชิงคุกคามดูหมิ่นเหยียดหยามเจ้าหน้าที่ คู่แข่งขัน ผู้ชม รวมถึงการใช้ถ้อยคำหยาบคาย หยาบโลนไม่ว่าจะภาษาใด โดยพูดเสียงดังจนกรรมการหรือผู้ชมในสนามได้ยิน หรือการคุกคามเจ้าหน้าที่ คู่แข่งขัน ผู้ชม หรือบุคคลอื่น ทางกายภาพ โดยใช้มือ หรือไม้แร็กเกต หรือลูกขนไก่แทนการสื่อความหมาย ทั้งหลายทั้งปวงนี้ล้วนผิดหลักปฏิบัติของนักกีฬาทั้งสิ้น ส่วนบทลงโทษนั้น ระบุเพียงโทษปรับตั้งแต่ 250-500 ดอลลาร์สหรัฐ (7,500-15,000 บาท) แต่ไม่ได้ระบุถึงโทษพักการแข่งขัน ซึ่งอาจมีเพิ่มเติมตามที่คณะกรรมการด้านวินัยพิจารณาเห็นควร