ทุกวันนี้เราจะเห็นว่าแฟชั่นปัจจุบันล้ำหน้าไปไกลมาก มักจะมีการคิดค้นแฟชั่นใหม่ๆ ซึ่งบางครั้งก็แปลกหลุดโลกแบบที่คงไม่มีคนดีๆ ที่ไหนกล้าใส่ (ยกเว้นเลดี้กาก้าไว้คนหนึ่ง) แค่คุณรู้หรือไม่ว่า แฟชั่นแปลกๆ นั้นมีมาตั้งแต่ในอดีต ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องธรรมดาของคนในสมัยนั้น แต่สำหรับในยุคนี้แล้ว ถ้าให้ทำตามก็คงจะไม่ขอเอาด้วย
Hairless Face :: หน้าเกลี้ยงเกลาปราศจากขน
ในช่วงยุคศตวรรษที่ 11 แฟชั่นเสื้อผ้ามีการเปลี่ยนแปลงช้ามาก เนื่องจากพวกวัสดุในการตัดเย็บก็คือของที่หาได้จากท้องถิ่นเท่านั้น นอกจากนั้นเทคนิคการตัดเย็บก็ยังเป็นแค่แบบพื้นฐานอยู่ ทำให้พวกผู้หญิงที่มีสถานะทางสังคมสูงกว่าต้องพยายามหาอะไรที่จะทำให้ดูแตกต่างจากคนชนชั้นธรรมดา ในเมื่อใช้เสื้อผ้าเป็นตัวบ่งบอกไม่ได้ ก็เลยใช้วิธีการกำจัดเส้นผม และขน ที่อยู่บนใบหน้า แทน ซึ่งผมหรือขนที่ว่านี้ ก็คือ คิ้ว ขนตา และไรผมตรงหน้าผาก ซึ่งสาวๆ ชั้นสูงเหล่านี้จะต้องถอนออกทุกๆ วัน (แค่อ่านก็เจ็บแทนแล้ว) ผลที่ได้คือ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาและหน้าผากสูง แลดูคล้ายกับเอเลี่ยน แฟชั่นนี้ได้รับความนิยมกันอย่างยาวนานจนถึงสมัยของพระนางอลิซาเบธที่ 1 รวมเวลากว่า 1,000 ปี
Headdresses :: เครื่องประดับศีรษะ
พอเข้าสู่ช่วงศตวรรษที่ 15 ก็มีเทรนแฟชั่นใหม่สำหรับสาวๆ เกิดขึ้นมาอีก นอกจากหน้าเกลี้ยงเกลาแล้ว ชนชั้นสูงจะต้องสวมใส่เครื่องประดับศีรษะ ซึ่งประกอบขึ้นจากเครื่องประดับหรูหรามากมาย ยึดติดกันไว้โดยเส้นลวด โดยเครื่องประดับศีรษะที่ว่านี้จะมีรูปทรงอย่างไรก็ได้แล้วแต่ความสร้างสรรค์ของแต่ละคน แต่ยิ่งอลังการมาก ก็หมายถึงว่าเป็นผู้มีอันจะกิน ดังนั้นเครื่องประดับศีรษะพวกนี้จึงออกมามีหน้าตาแปลกประหลาด และกลายเป็นที่ขบขัน ล้อเลียนกันในหมู่ประชาชนทั่วไป อย่างไรก็ตาม เทรนนี้ก็ได้รับความนิยมเป็นเวลากว่า 100 ปี
Codpiece :: ผ้าปิดน้องชาย
นอกจากแฟชั่นสำหรับผู้หญิงแล้ว ในช่วงศตวรรษที่ 15 ก็มีแฟชั่นสำหรับผู้ชายด้วยเหมือนกัน เรามักจะเห็นภาพผู้ชายในยุคนั้นสวมกางเกงตัวเล็กรัดติ้วกันเป็นประจำ แต่ความจริงแล้ว กางเกงนั้นไม่ใช่กางเกงเต็มตัวแบบสวมอย่างที่เราเข้าใจ แต่เป็นแบบขาสองข้างแยกกัน และจะมีชิ้นผ้าที่เรียกว่า Codpiece ใช้ปิดตรงกลาง ซึ่งในช่วงแรกๆ ก็เป็นแผ่นผ้าเรียบๆ ปิดไว้ แต่เมื่อเข้าสู่ช่วง ศตวรรษที่ 16 เริ่มมีการดัดแปลงในแผ่นปิดนี้ให้มีรูปร่างต่างๆ และยื่นออกมากอย่างเด่นชัด ตัวอย่างเช่นภาพที่เห็นข้างล่าง
ที่โด่งดังมากๆ ก็คือชุดเกราะของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ซึ่งส่วนของ Codpiece นั้นเป็นเหล็กยื่นออกมาโดดเด่นมาก
มีหลายทฤษฎีที่ที่อธิบายเทรนนี้ แต่ที่น่าเป็นไปได้ที่สุดก็คือ เพื่อความสบายในการสวมใส่ ไม่ต้องมีอะไรมารัดให้อึดอัด กับเพื่อเป็นการแสดงความเป็นชาย ข่มขวัญศัตรู
Chopines :: รองเท้ายกพื้นสูง
Chopines คือรองเท้าพื้นแบนยกสูงที่ทำมาจากไม้ ซึ่งมีมานานแล้ว จุดประสงค์ของรองเท้านี้จริงๆ แล้วก็คือใส่เพื่อลุยโคลน หรือกองมูลสัตว์ เพื่อที่ชายกระโปรงของผู้สวมใส่จะได้ไม่เลอะเทอะ แต่เมื่อชาวอิตาลีในศตวรรษที่ 14 นำเอารองเท้านี้มาดัดแปลง โดยใช้ผ้าไหมและเครื่องประดับตกแต่ง รองเท้านี้จึงกลายเป็นเทรนแฟชั่นใหม่ที่กลายเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นสูง โดยความสูงของรองเท้าจะเป็นตัวบ่งบอกฐานะ ทำให้มีรองเท้าบางคู่ที่สูงถึง 30 นิ้ว (0.76 เมตร) และคนที่ใส่จะต้องมีคนคอยช่วยจูงจึงจะสามารถเดินได้โดยไม่ตกลงมา รองเท้าแบบนี้เป็นที่นิยมไปจนถึงช่วงยุตปี ค.ศ.1600 จึงจะเสื่อมความนิยมไปและกลายเป็นรองเท้าส้นสูงแบบที่เราคุ้นเคยกันมาแทนที่
Big Wigs :: วิกผมใหญ่ๆ
เทรนนี้เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 17 เมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 พระราชาแห่งฝรั่งเศสในตอนนั้น เริ่มมีอาการศีรษะล้าน ซึ่งในตอนนั้นถือเป็นเรื่องน่าอับอายมาก พระองค์จึงเริ่มสวมใส่วิกผมลอนขนาดใหญ่เพื่อปกปิดศีรษะไว้ เมื่อเห็นดังนั้น พวกขุนนาง ข้าราชบริพารในวังก็เริ่มสวมใส่วิกตาม ด้วยความที่สมัยนั้นวิกเป็นของที่มีราคาแพงมาก และการดูแลรักษาก็ยุ่งยาก ทำให้มันเป็นสิ่งบ่งชี้ว่าผู้สวมใส่คือผู้มีอันจะกินที่มีสถานะทางสังคมสูง เทรนนี้ดำเนินไปเป็นเวลาประมาณ 150 ปี
หลังจากนั้น ช่วงศตวรรษที่ 18 ก่อนการปฏิวัติฝรั่งเศส เทรนนี้ก็กลับมาได้รับความนิยมอีก โดยผู้หญิงในยุคนั้นจะสวมวิกขนาดใหญ่ ซึ่งสูงได้ถึง 2 ฟุต ประดับด้วยเครื่องประดับผมอันเล็กๆ ผู้ที่นำเทรนที่สุดในยุตนั้น ก็คือพระนางมารี อองตัวเนต ซึ่งมักจะสวมวิกใหญ่โต อลังการกว่าใครเพื่อน วิกเหล่านี้มักจะถูกสวมใส่ตลอดเวลาเป็นเวลานานๆ โดยไม่มีการสระ หรือหวีเลย ทำให้กลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์พวกเห็บ เหา ต่างๆ
Panniers :: กระโปรงทรงสุ่มไก่
Panniers หรือ กระโปรงสุ่มไก่ เป็นที่นิยมในช่วงศตวรรษที่ 18 โดยเริ่มจากชนชั้นสูงในวังที่ชอบใส่กระโปรงสุ่มแบบใหญ่ๆ โดยเฉพาะชุดกระโปรงของพระนางมารี อองตัวเนต (ตามภาพด้านบน) ซึ่งกระโปรงมีความกว้างมาก จนไม่สามารถนั่งเก้าอี้ธรรมดาได้
กระโปรงแบบนี้ทำให้ชีวิตของผู้หญิงในสมัยนั้นลำบากกันมาก เพราะขนาดที่ใหญ่มากทำให้บางครั้งเข้า ออก ประตูไม่ได้ เวลาเข้าโรงหนังหรือโรงละครโอเปร่าก็ต้องจ่ายเงินซื้อตั๋วที่นั่งด้านข้างซ้าย ขวา เพิ่ม ถึงจะสามารถนั่งได้ นอกจากนั้น กระโปรงแบบนี้ยังอันตรายมากอีกด้วย เพราะชายกระโปรงมักจะติดไฟเมื่อเข้าใกล้เตาผิง หรือเทียนโดยคนใส่ไม่รู้ตัว รวมถึงกระโปรงทรงนี้เมื่อถูกลมพัดแรงๆ แล้ว ยังทำหน้าที่เป็นเหมือนร่มชูชีพอย่างดี ทำให้คนใส่ลอยละลิ่ว ถึงกับมีเรื่องเล่าว่า มีผู้หญิงที่ถูกพัดตกหน้าผาเพราะใส่กระโปรงแบบนี้มาแล้ว
ที่มา Fashion for Real Women , Colin-Falconer Blogspot